สิริพร สมบูรณ์บูรณะ[2]
ย้อนไปปีพ.ศ. 2551 ข่าวการเข้ามาของกลุ่มโรฮิงญาในจังหวัดระนองเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก
เริ่มต้นเมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติเห็นการจับกุมเรือชาวโรฮิงญาเข้ามาบริเวณน่านน้ำไทย
บริเวณเกาะทรายดำ จากนั้นก็เป็นข่าวมีนักข่าว CNN และ BBC เข้ามาทำข่าวอย่างมากมาย
ทำให้ประเด็นนี้ถูกจุดชนวนขึ้นมา
ขณะที่องค์กรระหว่างประเทศก็ได้เสนอให้จังหวัดระนองเป็นที่ตั้งของค่ายผู้อพยพเหล่านี้ในเชิงมนุษยธรรม
แต่ก็ได้รับการต่อต้านจากประชาคมชาวจังหวัดระนอง
เพียงเพราะข้อเสนอและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่ได้มีการศึกษาหรือทำความเข้าใจปัญหาเหล่านี้มาก่อน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคนท้องถิ่นในจังหวัดระนองเองก็อยู่กับคนเหล่านี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องเรียกว่า
“โรฮิงญา” แต่รู้จักแต่ “กะลาดำ” หรือ “พม่าที่นับถืออิสลาม”
ที่มีจำนวนมากและอยู่กันเป็นกลุ่มและชุมชนที่คนท้องถิ่นรู้จักเป็นอย่างดี
หากพิจารณาในกรณีจังหวัดระนองซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนใต้สุดของประเทศไทยที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเมียนมาร์
โดยมีแม่น้ำและทะเลกั้นเส้นพรมแดนของทั้งสองประเทศ
ทำให้จังหวัดระนองมีช่องทางเข้าออกที่สะดวกสำหรับการเดินทางของคนทั้งสองประเทศ
แต่มีช่องทางเข้า-ออกไม่กี่ช่องทางเท่านั้นที่รัฐทั้งสองฝ่ายกำหนดเป็นประตูอย่างถูกต้อง
อีกทั้งมีเกาะแก่งจำนวนมาก ทำให้สะดวกต่อการเข้า-ออกทางทะเล
รวมทั้งปลอดจากการถูกจับกุมจากทางราชการ
ดังนั้นก็จึงเป็นช่องทางหนึ่งของการเข้ามาของโรฮิงญา
ที่ทยอยหลั่งไหลเข้ามาทางเรือเป็นจำนวนมาก บ้างก็ถูกผลักดันออกจากน่านน้ำไทย
บ้างก็ล้มตายเป็นจำนวนมาก บ้างก็หลบหนีเข้าเมืองและถูกนายหน้าค้ามนุษย์ส่งขายต่อ
และบ้างก็ได้รับความช่วยเหลือจากคนไทยและเครือข่ายเพื่อนโรฮิงญาด้วยกัน
จนกระทั่งในช่วงปี 2551 พบว่า มีภาพของการถูกผลักดันออกจากน่านน้ำไทย
และการลงโทษโดยหน่วยงานภาครัฐได้ถูกเผยแพร่ออกไป ทำให้เกิดกระแสความสนใจของสื่อ
องค์กรพัฒนาเอกชนทั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติและระดับนานาชาติ ปรากฏการณ์ “ผู้อพยพทางเรือ” หรือที่เรียกว่า “Boat People”
เข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายนี้มิได้กลายเป็นปัญหาระดับท้องถิ่นอย่างเดียว
แต่ถูกยกระดับของปัญหาจนกลายเป็นปัญหาระดับสากล โดยเฉพาะเรื่อง “สิทธิมนุษยชน”
แต่ก็พบว่าปัญหาการเข้าเมืองของชาวโรฮิงญาที่เข้ามานี้
ยังถูกทำให้เกิดความเข้าใจผิด ๆ หรือถูกมองในเชิงลบ ดังเช่น
การพาดหัวข่าวของสื่อท้องถิ่น เรื่อง “มหันตภัยโรฮิงญา” [3]
“สั่งคุมเข้มพื้นที่ชายแดน” “โรฮิงญา” จ่อทะลักเข้าไทยนับแสน หรือ
“ระดมกวาดล้าง-เร่งผลักดันกลับ เป็นต้น
อีกทั้งมุมมองเชิงลบของการยอมรับหรือการเฝ้าระวังถึงความมั่นคงของชาติของเหล่าหน่วยงานต่าง
ๆ ของภาครัฐ เป็นต้น
อย่างเช่นกรณีอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดระนองท่านหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า “ทางจังหวัดระนองได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านความมั่นคงปลอดภัยเฝ้าติดตามระวังการทะลักเข้ามาของแรงงานข้ามชาติพม่าที่ทะลักเข้ามาในไทยเพิ่มมากขึ้น......โดยเฉพาะกลุ่มที่ทางจังหวัดและหน่วยงานความมั่นคงสั่งเฝ้าระวังเป็นกรณีพิเศษ
นั่นคือ โรฮิงญา”
อีกทั้งยังกล่าวไว้ว่า
“...ทราบว่าคนกลุ่มนี้ได้มีการหลบหนีออกนอกประเทศเพื่อทำงานหรือตั้งถิ่นฐานใหม่
โดยมีประเทศเป้าหมายคือ ไทยและมาเลเซีย ซึ่งมีช่องทางการหลบหนีเข้าสู่ไทย 2
ช่องทางคือ แม่สอดและระนอง
ในช่วงที่ผ่านมาทางจังหวัดระนองโดยการบูรณาการปฏิบัติการของทุกหน่วยงานสามารถจับกุมบุคคลเหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่อง
รวมแล้วกว่า 2,000 คน จากการสอบถามบุคคลเหล่านั้นพบว่าส่วนใหญ่ต้องการเดินทางผ่านไทยเพื่อไปทำงานยังประเทศที่สาม
ทางจังหวัดก็พยายามผลักดันกลับ แต่ปรากฏว่ามีการย้อนกลับเข้ามาอีก
ขณะนี้จึงสั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจเข้มบริเวณชายแดนตลอด 24 ชั่วโมง
หากพบว่า มีการจับกุมและผลักดันกลับทันที”
แม้ว่าจะมีการผลักดันให้โรฮิงญากลุ่มนี้ออกนอกประเทศ
หรือส่งประเทศที่สาม แต่ก็พบว่า
ยังคงหลงเหลือคนกลุ่มนี้จำนวนมากในจังหวัดระนองที่อยู่อย่างกระจัดกระจาย หลบๆ
ซ่อนๆ อยู่ตามชุมชนต่าง ๆ
บางคนเข้ามาอยู่เป็นระยะเวลานานจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย เนื่องจากโรฮิงญาเหล่านี้เมื่อเข้ามาในจังหวัดระนองแล้วส่วนหนึ่งเดินทางต่อไปจังหวัดอื่นหรือประเทศมาเลเซีย
อีกส่วนหนึ่งยังคงปักหลักอยู่อาศัยกับเครือญาติหรือเพื่อนที่อยู่อาศัยมาก่อนช่วยหางานทำ
ซึ่งส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง
ในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปีพ.ศ.2549
ถึงพ.ศ. 2551 การดำเนินการของไทยยังคงเน้นมาตรการสกัดกั้นใน 2 ลักษณะคือ (1) กรณีโรฮิงญาสามารถเข้าถึงแนวชายฝั่งแล้วจะดำเนินการจับกุมโดยใช้กำลังประชาชน
นำโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ตำรวจ กำลังป้องกันชายแดน ทหารเรือ
และตำรวจน้ำส่งมอบให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในพื้นที่ (ตม.)
ดำเนินคดีและผลักดันตามมติคณะรัฐมนตรี และ (2)
กรณีสามารถจับกุมได้ขณะยังไม่ขึ้นฝั่ง จะใช้วิธีการผลักดันออกไป
แต่เมื่อภารกิจนั้นไม่เป็นผลในปีพ.ศ.2552
จึงมีมติให้การสกัดกั้นและแก้ไขรับผิดชอบหลักอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของ
กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)
แต่ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนี้ก็เป็นที่ตระหนักนั่นคือ
การถูกเฝ้ามองหรือติดตาม ปัญหาด้านมนุษยธรรม ปัญหาการค้ามนุษย์
การละเมิดสิทธิมนุษยชน เป็นต้น
ซึ่งปัญหาเหล่านี้จึงส่งผลต่อภาวะความเสี่ยงของชีวิตความเป็นอยู่ของผู้ที่ยังคงอาศัยอยู่ในจังหวัดระนอง
และมิอาจแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้หมดไปได้
เพียงแต่สามารถป้องกันการเกิดปัญหาเหล่านี้ได้
ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาและทำความเข้าใจสถานการณ์ของโรฮิงญาที่อาศัยอยู่ในจังหวัดระนอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าสู่ตลาดแรงงาน
ความต้องการและทักษะที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน ที่สำคัญคือ
การมีโอกาสเข้าถึงและได้รับการช่วยเหลือในสิทธิขั้นพื้นฐานจากภาครัฐได้อย่างไร
นี่คือที่มาของการศึกษาครั้งนี้ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับความสนใจของโรฮิงญาที่อาศัยในจังหวัดระนองในการเข้าสู่ตลาดแรงงานทางด้านสังคมและงานด้านมนุษยธรรม
นอกเหนือจากงานภาคอุตสาหกรรมหรือภาคบริการ
เพื่อมีส่วนช่วยในการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับโรฮิงญาด้วยกันเอง
กับประชาชนไทย รวมถึงการพัฒนาและแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดระนอง
การกล่าวถึง “โรฮิงญา” เป็นที่เข้าใจกันอย่างมีนัยยะคือ
กลุ่มบุคคลที่เข้ามาในประเทศไทยใน
“ภาวะไร้สัญชาติ”ซึ่งหมายถึงภาวะที่บุคคลไม่มีพันธะทางกฎหมายในฐานะสมาชิกของรัฐใดรัฐหนึ่ง
เขาจึงอยู่ในสถานะไร้สัญชาติ
ภาวะไร้สัญชาติอาจเกิดได้จากการถูกเพิกถอนสัญชาติและการไม่มีสัญชาติตั้งแต่แรกเกิดเนื่องจากบุคคลเหล่านี้โดยถิ่นฐานดั้งเดิมแล้วอยู่ในรัฐอาระกัน
ประเทศสหภาพเมียนมาร์ รอยต่อกับประเทศบังคลาเทศ
แต่ไม่ได้รับการยอมรับในฐานะประชาชนหรือพลเมืองของประเทศสหภาพเมียนมาร์
อีกทั้งถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่อันตรายต่อความมั่นคงของชาติ
จะต้องการจำกัดและกำจัดคนเหล่านี้ในรูปแบบต่าง ๆ
ทำให้บุคคลเหล่านี้จึงไม่มีสถานภาพใด ๆ หรือไร้รัฐ เพราะไม่มีรัฐใด ๆ
ให้การยอมรับว่า โรฮิงญานี้เป็นพลเมืองของรัฐนั้น ๆ การไม่ยอมรับว่าเป็นพลเมือง
จึงนำไปสู่การปราศจากเอกสารรับรองสถานะจากประเทศต้นทาง
และทำให้ไม่สามารถเดินทางข้ามพรมแดนได้อย่างถูกกฎหมาย
ทั้งนี้เนื่องจากสถานการณ์ของโรฮิงญาในประเทศสหภาพเมียนมาร์นั้น
เป็นกลุ่มคนที่ไม่ได้รับการรับรองความเป็นพลเมืองพม่า
ของรัฐบาลพม่าตั้งแต่ยุคสมัยรัฐบาลเนวิน หลังปีค.ศ. 1962 โรฮิงญาถูกจัดอยู่ในพวก “คนต่างชาติ” (Foreigners) และถือว่าเป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย
จึงมีการออกกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิและความเป็นพลเมืองพม่าซึ่งร่างขึ้นใหม่และประกาศใช้ในปี
ค.ศ. 1982 แทนฉบับเดิมปี ค.ศ. 1948 (แก้ไขเพิ่มเติมปี
ค.ศ. 1960) ดังนั้นโรฮิงญากลุ่มนี้จึงไม่สามารถอยู่ในสถานะพลเมืองพม่าได้
สิทธิต่างๆ ย่อมไม่เท่าเทียม
จึงมีการกำหนดให้คนเหล่านี้จะต้องมีการแจ้งทะเบียนรายชื่อสมาชิกในครอบครัวอย่างละเอียดทุกคน
ไม่อนุญาตออกนอกพื้นที่อยู่อาศัย หากจำเป็นต้องขออนุญาตอย่างเป็นทางการ
ไม่สามารถแต่งงานกันหรือมีบุตรได้ การขออนุญาตการแต่งงานพร้อมค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้กับรัฐบาลพม่า
การเสียภาษีทำกิน ภาษีนาข้าว ภาษีการเกิด การตาย เป็นต้น[4]
สถานการณ์โรฮิงญาในจังหวัดระนอง
หากเราย้อนไปนับตั้งแต่ปีพ.ศ.
2542 จะพบว่ามีกระแสข่าวเกี่ยวกับโรฮิงญาผ่านสื่อต่างชาติ
และกลุ่มสิทธิมนุษยชนที่เผยแพร่ทั่วโลก โดยการนำเสนอภาพทหารเรือไทยกระทำการผลักดันโรฮิงญาอย่างทารุณ
โดยปล่อยทิ้งให้ลอยเรืออยู่กลางทะเล
จากข้อมูลของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
จังหวัดระนองได้มีการจับกุมโรฮิงญาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2549 ถึง ปีพ.ศ. 2552 ไว้ดังนี้[5]
ในปีพ.ศ. 2549 จับกุมโรฮิงญาได้จำนวน 1,225 คน
โดยกองทัพเรือได้ตรวจพบการหลบหนีเข้าเมืองและจับกุมดังกล่าว
ทั้งนี้เนื่องจากคนกลุ่มนี้ได้อพยพเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ พบว่า
ทั้งหมดเป็นผู้ชายและนับถือศาสนาอิสลาม
ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงตั้งข้อสังเกตว่า โรฮิงญานี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวพันกับปัญหาสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ในปีพ.ศ.2550
กองทัพเรือร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่จับกุมโรฮิงญานี้ได้อีก 2,763 คน พร้อมเรือจำนวน
21 ลำ
การดำเนินการตามนโยบายจับกุมและผลักดันผู้ลักลอบเข้าเมืองกลุ่มนี้ออกนอกน่านน้ำ
อันเป็นนโยบายที่ดำเนินการต่อเนื่องกันอย่างเป็นระบบตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550
โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ระนอง พังงาและภูเก็ต
ในปีพ.ศ.2551
กองทัพเรือได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่อุทยานของหมู่เกาะสุรินทร์ว่า พบโรฮิงญา จำนวน
205 คน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคที่ 4 ส่วนแยก1
เป็นหน่วยอำนวยการหลักในการแก้ไขปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย โรฮิงญาในส่วนพื้นที่จังหวัดระนองและพังงา
แต่รวมตลอดทั้งปีมีการจับกุมโรฮิงญาได้จำนวนทั้งสิ้น 4,886 คน
ในปีพ.ศ.2552 กองทัพเรือภาคที่ 3
ได้ตรวจพบผู้ลักลอบเข้าเมืองโรฮิงญาจำนวน 78 คนที่ ปากน้ำระนอง และถูกกักตัวอยู่ ณ
อาคารควบคุมผู้ต้องกักด่านตรวจคนเข้าเมืองระนอง
เพื่อรอการกำหนดนโยบายส่งตัวกลับจำนวนทั้งสิ้น 86 คน ในปีพ.ศ.2553
มีการจับกุมได้ประมาณ 2,351 คน
ในปีพ.ศ.2554 จับกุมได้ประมาณ 2,552 คน พ.ศ. 2555
มีการดำเนินการแล้วรวม 28 ครั้ง มีโรฮิงญาที่หน่วยงานเข้าควบคุมและสกัดกั้นพร้อมผลักดันออกนอกเขตอาณาจักรไทยรวม
2,177 คน
ในปีเดียวกัน ได้มีจดหมายเปิดผนึกถึง
ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เรื่อง
“ข้อเรียกร้องให้มีการไต่สวนที่เปิดเผยและเป็นอิสระต่อข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ไทยละเมิดและสังหารโรฮิงญา”
และผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง (นายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ) เรื่อง
“กรณีการผลักดันผู้แสวงหาที่พักพิง/ผู้อพยพโรฮิงญาออกสู่น่านน้ำสากลอันขัดต่อหลักมนุษยธรรมสากล”โดยคณะกรรมการเครือข่ายปฏิบัติการเพื่อแรงงานข้ามชาติ
(ประเทศไทย) และคณะกรรมการเครือข่ายการย้ายถิ่นในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
ซึ่งจดหมายทั้ง 2
ฉบับนี้มุ่งเน้นให้มีการปฏิบัติต่อคนกลุ่มนั้นตามหลักมนุษยธรรมสากล
โดยมีการเรียกร้องให้รัฐปฏิบัติตามภาระผูกพันที่รัฐไทยมีต่อปฏิญญากรุงเทพว่าด้วย
การโยกย้ายถิ่นฐานที่ไม่ปกติปี 2542
ซึ่งระบุไว้ว่า “...บุคคลต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมรวมถึงการช่วยเหลือด้านสุขภาพที่เหมาะสมและการบริการด้านอื่น
ๆ ...” และมิควรปล่อยให้มีการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรม
อีกทั้งรัฐไทยต้องปกป้องความมั่นคงทางชีวิต ความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของโรฮิงญา
ขณะที่พวกเขาเหล่านี้ได้แสวงหาความปลอดภัยและที่หลบภัยในดินแดนไทย
พวกเขาควรได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานและการสนับสนุนความต้องการด้านความอยู่รอด
ตามหลักการมาตรฐานด้านมนุษยธรรมที่ได้ระบุไว้
ในปีพ.ศ.2556
เมื่อเดือนมกราคม พบว่าโรฮิงญาจำนวน1,390 คน ได้ถูกกักตัวในห้องควบคุมของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองในจังหวัดต่าง
ๆ เช่น สงขลา พังงา ระนอง
รวมถึงบ้านแรกรับของสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในจังหวัด สงขลา
ปัตตานี นราธิวาส เป็นต้น[6] และในเดือนกุมภาพันธ์ก็ได้มีการจับกุมผู้หลบหนีเข้าเมืองกลุ่มโรฮิงญาอีกจำนวน
1,752 คน แบ่งเป็น ชาย 1,442 คน หญิงและเด็กจำนวน 310 คน โดยทั้งหมดกำลังอยู่ในกระบวนการทางกฎหมายตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง
พ.ศ. 2522 [7]
อย่างไรก็ตามข้อมูลดังกล่าวนี้ยังไม่ได้นับรวมชาวโรฮิงญาที่สามารถหลบหนีการจับกุมได้
หรือกลุ่มที่เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่เป็นเวลานาน ทั้งนี้สาเหตุสำคัญของการหลบหนีออกจากประเทศสหภาพเมียนมาร์
เนื่องจากภาวการณ์ถูกกดดันทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม
โดยเฉพาะการไม่ยอมรับของรัฐบาลพม่าในฐานะเป็นพลเมืองของตน
ขณะเดียวกันรัฐบาลไทยก็ไม่มีนโยบายเปิดรับคนกลุ่มนี้
เนื่องจากไม่มีการรองรับเรื่องพิสูจน์สัญชาติจากชาวพม่า จึงนำพระราชบัญญัติ
คนเข้าเมืองของไทย พ.ศ.2522 มาแก้ปัญหา
โดยปราศจากการเข้าใจและยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า
คนกลุ่มนี้จึงไม่สามารถเข้าไทยและประเทศใด ๆ ได้อย่างถูกกฎหมาย เพราะไม่มีรัฐใดๆ
ให้การยอมรับว่า โรฮิงญากลุ่มนี้คือ พลเมืองของรัฐนั้น ๆ
การไม่ยอมรับพวกเขาเป็นพลเมือง
การไร้สัญชาตินำไปสู่การปราศจากเอกสารที่รองรับสถานะของประเทศต้นทาง
และไม่สามารถเดินทางข้ามพรมแดนได้อย่างถูกกฎหมาย
อีกทั้งมีการเชื่อมโยงเข้ากับกลุ่มก่อการร้ายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
และการสร้างเครือข่ายในประเทศไทย เพื่อเรียกร้องสิทธิต่าง ๆ เช่น การขอสัญชาติไทย
เป็นต้น จากการให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ของ พญ. คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์
ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ได้ตั้งข้อสังเกตว่า “จากการตรวจดีเอ็นเอของโรฮิงญาหลายครั้งมีข้อน่ากังวลในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้
คือ ในช่วงปี 2552 ตรวจพบชาวโรฮิงญาที่ถือบัตรสัญชาติมาเลเซียเข้ามาก่อเหตุในพื้นที่สามชายแดนภาคใต้
แม้กรณีนี้ไม่ได้พบบ่อย แต่มีข้อสงสัยว่า เข้ามาเส้นทางใด เนื่องจากชาวโรฮิงญาไม่มีศักยภาพพอที่จะลอยเรือไปขึ้นฝั่งที่มาเลเซียได้
นอกจากนี้ จากการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ยังพบว่า
ในกลุ่มของผู้ลักลอบหลบหนีเข้าเมืองมีการนำวัตถุระเบิดจากประเทศอินเดียเข้ามาด้วย
จึงน่าสงสัยว่า มีขบวนการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายคนกลุ่มนี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม
แม้จะมีการผลักดันคนเหล่านี้กลับประเทศ แต่ในความเป็นจริงโรฮิงญาจะถูกส่งขึ้นฝั่งที่
จังหวัดสตูล ระนองและจังหวัดอื่น ๆ
และบางส่วนจะถูกส่งต่อเข้าไปมาเลเซีย...จากการตรวจสอบขยายผลถึงที่พักโรฮิงญาผู้ต้องหา
2 รายให้การรับสารภาพว่า เป็นโรฮิงญาที่อพยพมาจากชายแดนด้านแม่สอด
แต่มาอาศัยอยู่ที่สุไหงโก-ลก และต่อมาถูกส่งตัวไปฝึกกับอาร์เคเค
และกลับเข้ามาก่อเหตุในจังหวัดชายแดนภาคใต้...” [8]
การพิจารณาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกรณีการหลบหนีเข้าเมืองของโรฮิงญายังไม่มีความชัดเจนและมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับผู้ที่มีส่วนรู้เห็นของการเดินทางเข้า-ออก
โดยใช้เส้นทางประเทศไทยเป็นทางผ่าน รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนายหน้า
ขบวนการค้ามนุษย์ที่มีเจ้าหน้าที่ไทยให้ความร่วมมือ
จากการสัมภาษณ์หนึ่งในนายหน้าค้ามนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายชาวโรฮิงญาทั้งเด็ก
สตรีและผู้ชายจำนวนกว่า 73 คนที่อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา
ได้เล่าว่า “ได้มีการโอนเงินจากมาเลเซีย 1,500,000
บาท ให้แก่เจ้าหน้าที่ไทย ซึ่งจำนวนเงินนี้ได้รับการยืนยันจากสมาชิกโรฮิงญาที่อาศัยในประเทศไทย” [9]
อีกทั้งแม้แต่การให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในการชี้ขาดไม่ให้โรฮิงญาขึ้นฝั่งที่จังหวัดระนอง
โดยปราศจากการคำนึงถึงการนำหลักการแก้ปัญหาด้านอื่น ๆ มาร่วมใช้
และคำนึงถึงผลกระทบที่จะติดตามมาต่อเนื่อง
ตัวอย่างกรณีนายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง
ให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2552 กล่าวไว้ว่า “ระหว่างเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี
ถือเป็นช่วงที่กลุ่มคนเหล่านี้เดินทางมากที่สุด เนื่องจากปลอดจากมรสุม และพายุต่าง
ๆ โดยเฉพาะปีนี้ทราบว่า โรฮิงญานับหมื่นคนจะเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย
โดยเข้ามาขึ้นฝั่งที่จังหวัดระนอง
เพราะมีกลุ่มบุคคลนับถือศาสนาเดียวกันคอยช่วยเหลือ รวมถึงกลุ่มขบวนการค้าแรงงานเถื่อน
ที่มีเครือข่ายคอยช่วยเหลืออีกทาง ตนได้ประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตรวจเข้มแนวชายแดนตลอด 24 ชั่วโมง ถ้าพบจะผลักดันไม่ให้เข้ามาใกล้ฝั่ง
หรือขึ้นฝั่งได้เป็นอันขาด แต่ทุกอย่างก็เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม”[10]
ในเดือนมีนาคม
2552 ทหารได้ใช้อำนาจกฎอัยการศึกษา[11]ในการตรวจค้นและล้อมพื้นที่บริเวณชุมชนซอย 2 ซอย 7 และซอย 9 หมู่
5 ต.บางริ้น และซอยนกเขา ต.บางริ้น อ.เมือง จ.ระนอง นำโดย พ.ท.เจนยุทธ สทิสินทร์ เสนาธิการ หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 25 (ฉก.ร.25) กองร้อย 2521 จังหวัดระนอง หลังจากสืบทราบว่าเป็นแหล่งพักพิงขนาดใหญ่ของโรฮิงญา
ในการตรวจค้นพบว่า มีโรฮิงญาทั้งหมด 90 คน
รวมทั้งแรงงานข้ามชาติพม่าที่นับถือศาสนาอิสลามอีกจำนวนหนึ่ง
จึงมีการควบคุมตัวไปสอบสวนและตรวจสอบเอกสารแสดงตนที่กองร้อยอาสาสมัครรักษาดินแดน
จ.ระนอง ซึ่งร.อ. เฉลิมพล เทโหปการ ผู้บังคับกองร้อย 2521
ฉก.ร.25 กล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ได้แยกควบคุมตัวโรฮิงญาเป็น
3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก เป็นกลุ่มแสดงตนว่า
มีบัตรไทยพลัดถิ่น ซึ่งมีทั้งหมด 46 คน แบ่งเป็นชาย 19 คน หญิง 21 คน และเด็ก 6 คน
กลุ่มที่สอง เป็นแรงงานข้ามชาติพม่านับถือศาสนาอิสลามจำนวน 50 คน แยกเป็นชาย 20 คน หญิง 17 คน
และเด็ก 13 คน กลุ่มที่มีสามมีเอกสารหลายใบ อาทิ
บัตรแสดงสถานะประชาชนชาวพม่า บัตรไทยพลัดถิ่น และอื่น ๆ กลุ่มนี้มี่ 17 คน แบ่งเป็นชาย 8 คน หญิง 5
คน และเด็ก 4 คน และเท่าที่ตรวจสอบหลายคนส่อว่า
ได้บัตรมาโดยมิชอบ” และเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง
นายวันชาติ วงษ์ชัยชนะ ได้ตรวจสอบโรฮิงญาดังกล่าวก็กล่าวว่า “หากพบว่าบัตรที่โรฮิงญาถือครองอยู่ได้มาโดยไม่ถูกต้อง
ก็จะสั่งยกเลิกและดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวทันที
ส่วนบรรดาข้าราชการที่เข้าไปพัวพันจะต้องถูกดำเนินการทั้งทางวินัยและอาญาอย่างแน่นอน”
[12]
แต่ก็พบว่าโรฮิงญาที่เข้ามาอยู่ในชุมชนที่เชื่อว่าอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาแล้ว
มากกว่า 10 ปี
ส่วนใหญ่พบว่าได้รับ“บัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน”
ขึ้นต้นด้วยหมายเลข “0” และบัตรประจำตัว
“บัตรไทยพลัดถิ่น”สีชมพู ขึ้นต้นด้วยหมายเลย “6”
จากการสัมภาษณ์รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดหรืออดีตปลัดอำเภอ
จังหวัดระนอง[13]
ได้กล่าวว่า “การจัดทำบัตรเลข “0” และ
“บัตรไทยพลัดถิ่นสีชมพู ขึ้นต้นด้วยหมายเลข “6” นั้น
ทำให้เป็นที่มาของการสร้างบ้านเช่าและเก็บค่ารายหัว ๆ ละ 2,000-6,000 บาทต่อเดือน”
“...แน่นอนการตรวจสอบนี้สำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งให้มีการปรับปรุงฐานข้อมูลเกี่ยวกับ
“คนไทยพลัดถิ่น” ดังนั้นจึงเป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้คนเหล่านี้ผ่านนายหน้า
เข้าทางผู้ใหญ่บ้าน และพวกนายหน้าก็ไม่ใช่ใครอื่น ก็เป็นพวก ๆ
เดียวกันกับพวกเขานั่นแหละ..”
ในปีพ.ศ.2552 มีการตรวจสอบ พบว่า
มีการออกบัตรไทยพลัดถิ่นให้แรงงานข้ามชาติ รวมถึงโรฮิงญา นายกิตติเดช พิทยาภินันท์
อดีตปลัดอำเภอจังหวัดระนอง ฝ่ายทะเบียนราษฎร์ (เจ้าพนักงานปกครอง 7)[14]
ได้กล่าวว่า “หากพูดถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับปัญหาข้าราชการหากินกับแรงงานข้ามชาติพม่า
หรือแม้กระทั่งกับโรฮิงญา ถือเป็นปัญหาที่หมักหมม และเรื้อรังมานานของจังหวัดระนอง
โดยที่มีผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องไม่เคยสนใจ หรือเข้ามาดูแล
ปล่อยปัญหาคาราคาซังจนยากที่จะแก้ไข โดยการเข้ามาตั้งรกรากของโรฮิงญาใน 3 ซอย
เขตอำเภอเมือง ประกอบด้วย ซอย 2 ซอย4 และซอย 7 มีโรฮิงญา หรือคนในท้องถิ่นเรียกว่า
“แขกกะลา”อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
ในขณะที่เจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่เคยมีหน่วยงานใดที่เข้าไปดูแล
หรือแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวเลย หรือแม้กระทั่งขบวนการค้าโรฮิงญา
จากเกาะพยามสู่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองหลายคนหลายฝ่ายทราบ
มีข้อมูลเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี แต่สุดท้ายไม่เห็นจะมีการดำเนินการใด ๆ
แต่เมื่อเกิดปัญหาขึ้น สุดท้ายคนที่เคราะห์ร้ายคือ ตน ซึ่งถือว่าไม่ยุติธรรม”
“ต้นตอปัญหาที่เกิดขึ้น
ผมมองว่าเริ่มเมื่อปี 2537 เมื่อครั้งที่จังหวัดระนอง
เปิดให้แรงงานข้ามชาติมีการทำบัตร
ซึ่งพบว่าช่องโหว่ที่สำคัญที่เป็นที่มาของการทุจริตคือ
บัตรที่ทำเป็นบัตรที่เขียนเอง ไม่มีการลงรายละเอียดในฐานระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์
แม้ว่ารูปแบบของบัตรจะมาจากส่วนกลาง แต่การทำด้วยมือถือว่าเป็นช่องโหว่ที่สำคัญ”
“ขั้นตอนของการออกบัตรไทยพลัดถิ่นให้คนไทยพลัดถิ่น เริ่มต้นจากการสำรวจ
โดยให้มาลงทะเบียนที่บ้านผู้ใหญ่บ้านในแต่ละพื้นที่
จากนั้นทางอำเภอจะเข้าไปทำเวทีประชาคมโดยการนำตัวแทนในหมู่บ้านหรือชุมชนนั้น ๆ
มาช่วยตรวจสอบบุคคลที่มาขอขึ้นทะเบียนเป็นคนไทยพลัดถิ่น
หากมีการรับรองจากเวทีประชาคม
ก็จะส่งต่อข้อมูลมายังฝ่ายทะเบียนราษฎรเพื่อแจ้งไปยังสำนักงานทะเบียนราษฎรเพื่อขอเลข
13 หลัก จากนั้นจะนัดมาถ่ายรูปและลงข้อมูล เพื่อออกบัตรประจำตัวที่ขึ้นต้นด้วย
หมายเลข 0 ต่อไป”[15]
สำหรับพื้นที่ในเขตซอย
2 หมู่ 4 ต.บางริ้น อ.เมือง จ.ระนอง เป็นแหล่งอาศัยของโรฮิงญาที่อพยพมานานกว่า 20
ปี และอาศัยอยู่บ้านเช่า ห้องแถวเล็ก ๆ รวมประมาณมากกว่า 100 คน พบว่า
ส่วนหนึ่งได้บัตรไทยพลัดถิ่น ซึ่งเป็นบัตรประชาชนที่แสดงสถานะความเป็นคนไทยที่ขึ้นต้นด้วยหมายเลข
6
จากการสัมภาษณ์
นางซูนะ (โรฮิงญาในระนอง อายุ 32 ปี)[16]
กล่าวยอมรับว่า “การขอบัตรไทยพลัดถิ่นจริง ๆแล้ว โรฮิงญาอย่างพวกตนนั้นไม่มีสิทธิได้
แต่ก็ต้องแลกกับการต้องจ่ายผลประโยชน์ให้นายหน้าซึ่งชาวแขกกะลา
อ้างว่ารู้จักกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไทยที่สามารถดำเนินการออกบัตรให้ได้
ซึ่งตนต้องจ่ายเงินกว่า 3หมื่นบาท โดยเฉลี่ยต่อคนประมาณ 1หมื่นบาทเท่านั้น
ตนก็ไม่ทราบว่านายหน้าคนดังกล่าวไปจ่ายให้ใครที่ไหนบ้าง ซึ่งขอให้ได้บัตรก็พอแล้ว
เพราะจะทำให้มีสิทธิต่าง ๆ และสามารถอยู่บนแผ่นดินไทยได้ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ ไปไหนมาไหนได้สะดวกปลอดภัย”
และนายอารีย์ (โรฮิงญาในระนอง อายุ 54 ปี) [17]ได้เล่าให้ฟังว่า
“ผมเข้ามาอาศัยอยู่ในตำบลบางริ้น อ.เมือง จ.ระนอง นานกว่า 20 ปี ขอพูดอย่างตรงไปตรงมาแล้วกันว่า ทุกวันนี้พวกผมต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ทุกเดือน
เพื่อแลกกับการที่ไม่ต้องถูกจับกุมดำเนินคดีในข้อหาหลบหนีเข้าเมือง ทำให้พวกโรฮิงญาหลายคนพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางให้ได้ซึ่งบัตร
ซึ่งมี 2 ลักษณะคือบัตรแรกเป็นบัตรอนุญาตชั่วคราวสำหรับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย
(บัตรคล้องคอ) ซึ่งหลายคนไปขึ้นทะเบียนและได้มา
อีกบัตรที่กำลังเป็นที่ต้องการของหลายๆ คน คือบัตรไทยพลัดถิ่น
ซึ่งเป็นบัตรประชาชนชนิดหนึ่งที่แสดงความเป็นคนไทยที่ขึ้นต้นด้วยเลข 6 หากใครได้บัตรนี้ประวัติการเป็นโรฮิงญา ก็จะถูกลบออกจากสาระบบ
กลายเป็นคนไทยโดยสมบูรณ์ มีสิทธิขั้นพื้นฐานเช่นคนไทยทั่วไป จะเดินทางไปไหน
ประกอบอาชีพอะไร ศึกษาที่ไหนก็ได้ มีสิทธิแม้กระทั่งเป็นเจ้าของที่ดิน
ที่อยู่อาศัย ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของโรฮิงญามาก”
หากกล่าวถึงสถานการณ์ของโรฮิงญาในจังหวัดระนอง
อาจสรุปได้ว่า สามารถแบ่งเป็น 3
กลุ่มหลัก ๆ คือ กลุ่มที่มีบัตรไทยพลัดถิ่น กลุ่มที่ไม่มีบัตรแสดงสถานะใด ๆ
ทั้งสิ้น และกลุ่มที่ถูกกักบริเวณ ณ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
(ก)
กลุ่มที่มีบัตรไทยพลัดถิ่น
กลุ่มที่เข้ามาก่อนปีพ.ศ. 2549 เป็นกลุ่มลักลอบเข้ามาและที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดระนอง
ซึ่งก่อนหน้านั้นอาจเดินทางไปทำงานที่จังหวัดอื่น ๆ หรือประเทศมาเลเซีย
แล้วกลับมาจังหวัดระนอง จนสามารถพูดและฟังภาษาไทยอย่างเข้าใจ และสื่อสารได้ดี
เมื่อกลุ่มนี้เข้ามาอยู่ในชุมชนก็จะต้องแจ้งให้ทางผู้ใหญ่บ้านได้รับทราบ
เพื่อจะได้ไม่มีปัญหากับการถูกจับกุมจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเมื่อเกิดกรณีการอนุญาตให้ทางผู้ใหญ่บ้านตรวจสอบสถานะของบุคคลที่เป็น
“คนไทยพลัดถิ่น” [18]บุคคลเหล่านี้จึงได้รับโอกาสนี้ด้วย
(ข)
กลุ่มที่ไม่มีบัตรแสดงสถานะใด
ๆ ทั้งสิ้นกลุ่มนี้เข้ามาก่อนปีพ.ศ. 2549 เหมือนกัน แต่มีการหลบหนี และมีเครือข่ายญาติพี่น้อง
คนรู้จักให้การช่วยเหลือ ซึ่งเมื่ออยู่ในชุมชนก็ต้องมีการแจ้งให้กับทางผู้ใหญ่บ้าน
และขึ้นบัญชีกับทางหน่วยงานกอ.รมน. เพื่อที่จะได้รับการคุ้มครอง และสามารถทำงานได้
แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตในจังหวัดระนองเหมือนกัน
(ค)
กลุ่มที่ถูกกักบริเวณ
ณ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองกลุ่มที่เข้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549
เป็นกลุ่มที่ทะลักเข้าประเทศไทยทางเรือเข้ามาในน่านน้ำไทยครั้งละจำนวนมาก ๆ
และถูกจับกุม กักขังไว้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนอง
ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่องค์กรระหว่างประเทศ
และสื่อต่างประเทศให้ความสนใจอย่างมาก อีกทั้งมีการเจรจาถึงสิทธิมนุษยชนและปัญหาการค้ามนุษย์
ดังนั้นในการศึกษานี้เราจึงเน้นให้ความสำคัญกับกลุ่ม (ก) และกลุ่ม (ข)
ซึ่งเป็นกลุ่มที่เข้ามาอาศัยและตั้งถิ่นฐานในจังหวัดระนอง
อนึ่งเป็นกลุ่มที่มีส่วนได้ส่วนเสียและอยู่ภายใต้ความคลุมเครือของสังคมผลประโยชน์
โรฮิงญาในฐานะแรงงานข้ามชาติในจังหวัดระนอง
หากกล่าวถึงเหตุผลสำคัญของการเข้ามาของโรฮิงญาเหล่านี้แล้ว
ส่วนใหญ่ต้องการชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องถูกกดขี่
ไม่ต้องถูกกีดกันแบ่งแยกทางชาติพันธุ์ ขณะเดียวกันสถานการณ์ของโรฮิงญาในประเทศพม่าเองก็แย่ลง
พวกเขาไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนในฐานะประชาชนหรือกลุ่มชาติพันธุ์ในพม่า
ทำให้ไม่มีสิทธิใด ๆ ทั้งสิ้นต้องอยู่อย่างยากลำบาก กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง
ทำให้มีการหลบหนีออกจากประเทศพม่าจำนวนมาก ไปประเทศต่าง ๆ เช่น บังคลาเทศ ไทย มาเลเซีย
ซาอุดิอาระเบีย ปากีสถาน สหรัฐอาหรับอีมิเรท เป็นต้น
สำหรับกรณีประเทศไทยดังที่กล่าวแล้วข้างต้น
การเข้ามาและสถานการณ์โรฮิงญาในจังหวัดระนอง
เมื่อคนเหล่านี้เข้ามาเริ่มต้นด้วยการให้ญาติพี่น้อง เครือข่าย
หรือหัวหน้ากลุ่มซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับคนท้องถิ่นจะเป็นผู้หางานให้ทำ
เริ่มต้นจากการรับจ้างทั่วไป การขายโรตี การทำงานในร้านรับซื้อของเก่า
รับซื้ออวนเก่า เป็นต้น
จากการสัมภาษณ์บังอุมัร์
(โรฮิงญา อายุ 63 ปี)[19]
ผู้ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยมากกว่า 40 ปี
แต่งงานกับคนไทยมีลูก 5 คน และลูก ๆ ได้สัญชาติไทยทั้งหมด
ได้เล่าให้ฟังถึงการเข้ามาของโรฮิงญาว่า “พวกเขามาเมืองไทยเพื่อมาทำมาหากิน
และประเทศพม่าไม่ดีกับมุสลิม แต่ที่เมืองไทยปฏิบัติต่อพวกเราดี
ให้สิทธิกับพวกเขา...พวกเขาจะทำไงดี..ในเมื่อพวกเขาไม่มีความรู้ พม่าไม่ให้ความรู้
ไม่ให้พวกเรารู้ ดังนั้นพวกเราก็ต้องหาความรู้ เป็นสิ่งสำคัญ
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาประเทศพม่าเกิดอะไรขึ้นมีใครบอกได้หรือไม่...แน่นอน..ไม่ได้...เพราะเราไม่มีความรู้..”
จากการสอบถาม
ส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในงานที่ทำ เพราะเป็นงานอิสระ โดยเฉพาะการรับซื้อของเก่า
และการรับจ้างทั่วไป ถือว่าเป็นงานที่สามารถมีรายได้เข้ามาตลอดเวลา
ขึ้นอยู่กับความขยันและความอดทนในการทำงาน ข้อที่น่าสังเกตที่พบคือ โรฮิงญาในจังหวัดระนองจะไม่ได้เข้าไปทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับประมง
รวมถึงการทำงานในภาคบริการ ทั้งนี้เกี่ยวข้องกับข้อจำกัดเรื่องของบัตรแสดงสถานะ
และการถูกแบ่งแยกกีดกันทางชาติพันธุ์ในกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่มาจากประเทศพม่าด้วยกัน
แม้ว่าประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง
[20]เรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
(ฉบับที่ 7) ประกาศ ณ วันที่ 10 ตุลาคม 2555
ที่กำหนดให้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยบาทในท้องที่จังหวัดระนอง
แต่อัตราการจ้างงานขั้นต่ำในจังหวัดระนอง ยังไม่เป็นไปตามประกาศที่กำหนดไว้
ทัศนคติของคนไทยท้องถิ่นต่อโรฮิงญา
แม้ว่าในจังหวัดระนองจะมีจำนวนแรงงานข้ามชาติพม่าที่ได้รับอนุญาตทำงาน
ปี พ.ศ. 2555 จำนวน 40,609
[21] ซึ่งโดยทั่วไปมิได้มีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน
ว่ากลุ่มใดนับถือศาสนาพุทธหรือศาสนาอิสลาม
เพราะคนในท้องถิ่นจะเรียกเหมือนกันหมดว่า “พม่า” เพราะเชื่อว่าคนกลุ่มนี้มาจากประเทศพม่า
พูดภาษาพม่า แต่คนไทยท้องถิ่นก็เห็นความสำคัญของแรงงานข้ามชาติพม่า เพราะเชื่อว่า
เศรษฐกิจของจังหวัดระนองไม่ว่าธุรกิจขนาดเล็กจนกระทั่งขนาดใหญ่จะดำรงอยู่ได้นั้นต้องอาศัยแรงงานข้ามชาติพม่า
และการติดต่อค้าขายกับประเทศพม่า
อย่างไรก็ตามสำหรับทัศนคติของคนไทยท้องถิ่นที่มีต่อโรฮิงญานั้น
ยังคงมีทัศนคติในเชิงลบ
ทั้งนี้ส่วนหนึ่งจากการได้รับข้อมูลข่าวสารจากสื่อและภาครัฐ ซึ่งมองว่า โรฮิงญาเมื่อเข้ามาในจังหวัดระนองจำนวนมากนั้น
ส่วนใหญ่มาทางเรือเป็นการลักลอบเข้ามาโดยผิดกฎหมายไม่ได้ผ่านการตรวจสอบอย่างถูกต้องตามหลักกฎหมายไทย
และที่สำคัญคนส่วนใหญ่ที่เข้ามานั้น เป็นผู้ชาย
ที่เชื่อว่าอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของราชอาณาจักรไทย
และคนเหล่านี้น่าจะมีการฝึกฝนการใช้อาวุธสงครามมาแล้วเป็นอย่างดี ซึ่งที่มาของทัศนคติเบื้องต้นมาจากข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงผ่านสื่อสารมวลชน
ขณะเดียวกันกรณีคนไทยมุสลิมก็จะมองว่า
คนเหล่านี้เสมือนเป็นพี่น้องที่นับถือศาสนาเดียวกันต้องให้การช่วยเหลือกัน
อย่างกรณีผู้นำทางศาสนาอิสลามหรือโต๊ะอิหม่ามได้ขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อโรฮิงญาเหล่านี้โดยคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม
รวมทั้งคนในท้องถิ่นเองก็ให้ความช่วยเหลือส่งอาหารหรือน้ำให้แก่ผู้ที่ถูกทหารจับกุม
สำหรับกรณีที่อยู่ในชุมชนร่วมกันก็จะช่วยเหลือหางานให้ทำ เป็นต้น
กรณีโรฮิงญาเข้ามาอาศัยอยู่ในแต่ละชุมชนนั้น
ผู้ใหญ่บ้านและกรรมการหมู่บ้านจะมีการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด โดยผ่านหัวหน้ากลุ่มต่าง
ๆ ให้แจ้งชื่อและรายละเอียดทั้งหมด
รวมถึงการบอกผ่านหัวหน้ากลุ่มให้สมาชิกของตนได้เข้าใจการอยู่ร่วมกันในชุมชน
และกฎหมายต่าง ๆ อีกด้วย ดังเช่นกรณีหนึ่งในกรรมการหมู่บ้านท่าฉาง[22]
ได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อมีแรงงานต่างด้าวเข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน
ตนในฐานะกรรมการหมู่บ้านก็ต้องเรียกมาให้ความรู้เรื่องกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่อง
การขับรถ และหาว่าได้พาเพื่อนหรือญาติพี่น้องเข้ามาอาศัยในหมู่บ้านก็ขอให้มีการแจ้งกับผู้ใหญ่บ้าน
เพราะจะได้มีการตรวจสอบและดูแลความสงบเรียบร้อยได้ทันท่วงที”
ซึ่งกรรมการหมู่บ้านท่านนี้ได้แจ้งกับบังอาลี ซึ่งเป็นโรฮิงญาและเป็นสมาชิกหนึ่งในหมู่บ้าน
ที่พาเพื่อนมาเช่าบ้านอยู่ใกล้ ๆ บ้านของตน
กล่าวว่า “อาลี...บอกเพื่อนด้วยว่า..ให้เพื่อนที่ย้ายมาใหม่มาแจ้งกับผู้ใหญ่บ้าน
ว่าจะมาขออยู่ในบ้านท่าฉางนี้ เพื่อจะได้รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน มาเมื่อไร
จะได้เก็บหลักฐานเบื้องต้น”
จากการสัมภาษณ์แอดมิน
เฟชบุ๊ค “มุสลิมระนอง” ได้แสดงความเห็นว่า[23]“การเข้ามาของโรฮิงญานี้
เราต้องให้ความช่วยเหลือพวกเขาเป็นอย่างดี เท่าที่จะช่วยได้
เพราะพวกเขาเป็นเสมือนพี่น้องมุสลิมด้วยกัน จะต้องช่วยเหลือกัน
และสิ่งที่ทำตอนนี้ก็คือ การระดมทุน และรับบริจาคสิ่งของต่าง ๆ
เพื่อช่วยพวกเขาที่อยู่ในตม. และอาหารให้ทั้งสามมื้อ
ที่ผ่านมาก็ทำให้ที่บ้านพักชาย แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว ...”
จากทัศนคติของคนท้องถิ่นโดยทั่วไปต่อโรฮิงญา
ไม่ได้เห็นถึงความแตกต่างมากนักกับแรงงานข้ามชาติพม่ากลุ่มอื่น ๆ
ซึ่งถือว่าเป็นความเคยชิน และก็จะทราบกันทั่วไปว่าคนกลุ่มนี้จะกระจุกตัวอยู่เป็นกลุ่ม
ๆ บริเวณใดบ้าง อีกทั้งก็มองว่า คนกลุ่มนี้ไม่ได้ก่อความเดือดร้อน
หรือสร้างปัญหาให้กับเพื่อนบ้านหรือชุมชนที่ตนอยู่อาศัย
และอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวอีกด้วย
หากเทียบกับกลุ่มแรงงานข้ามชาติพม่ากลุ่มอื่น ๆ และยังมองว่าโรฮิงญาเหล่านี้มักจะมุ่งมั่นกับการทำมาหากิน
ขยันขันแข็งและอยู่ในเฉพาะกลุ่มของตนเอง
ผู้ใหญ่บ้านหมู่
4 ซอย 2 ตำบลบางริ้น [24]ได้กล่าวไว้ว่า
“พวกนี้ที่มาอยู่น่ะ ...ไม่เคยก่อปัญหาอะไรด้วยซ้ำไป
เหล้าก็ไม่กิน เพราะเขาถือว่าผิดหลักศาสนา พูดง่ายกว่าคนไทยในชุมชนนี้ด้วยซ้ำไป
ถ้าไปขอให้มาช่วยก็บอกผ่านหัวหน้ากลุ่มไป...เขาจะเชื่อหัวหน้ากลุ่มเขา
เพราะเขากลัวอยู่ไม่ได้ เพราะทางตำรวจมาตรวจตลอด...”
น้าแดง
ชาวบ้านบ้านท่าฉาง ตำบลหงาว [25] “เขาก็ไม่ได้ก่อความเดือดร้อนอะไรน่ะ...อยู่เงียบ
ๆ เช้ามาก็ไปทำมาหากิน บางทีที่บ้านก็จ้างมาตัดหญ้าก็ให้ค่าจ้างไปถูก ๆ 220 บาทต่อวัน ทำงานดี..ไม่พูดมาก”
กรรมการมัสยิดซอย
7 ตำบลบางริ้น[26]“ก็เห็นพวกนี้มาร่วมน่ะ...ก็มาร่วมทุกวันศุกร์
ละหมาดเสร็จ ช่วยล้างจาน กวาดลานมัสยิด จะช่วยงานเล็ก ๆ น้อย ๆ
บางทีถ้ามีเงินก็จะมาร่วมบริจาคเล็ก ๆ น้อย ๆ ...”
จากการสัมภาษณ์กลุ่มคนไทยท้องถิ่นส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นและทัศนคติต่อโรฮิงญาในเชิงบวก
แต่นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้น ทั้งนี้เพราะคนไทยมองว่า
คนเหล่านี้ไม่ได้แสดงความเดือดร้อนหรือปัญหาร้ายแรงให้กับชุมชนและเพื่อนบ้าน
แม้ว่าพวกเขาจะอยู่กับกลุ่มตัวเองไม่ยุ่งสุงสิงกับคนไทยทั่วไปมากนัก
แต่หากเปรียบเทียบกับแรงงานข้ามชาติพม่ากลุ่มอื่นๆ แล้วสร้างปัญหามากกว่า
ที่สำคัญได้เห็นถึงความเคร่งต่อการดำรงตนตามหลักศาสนาอิสลาม
และมีความขยันขันแข็งในการทำงานเพื่อครอบครัว
แต่ก็พบว่า ก็ยังมีบางกลุ่มที่แสดงความไม่เห็นด้วยกับการอยู่ของคนกลุ่มนี้
และเกิดความหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจ เพราะ “ความเป็นมุสลิม”
ที่ได้ยินจากข่าวสารสื่อต่าง ๆ ในฐานะผู้ก่อความไม่สงบ
โดยเฉพาะในกลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐหน่วยงานต่าง ๆ
ยังขาดความเข้าใจและความพยายามเรียนรู้เรื่องราวของคนกลุ่มนี้ แหละนี่จะกลายเป็น
“ช่องว่าง” ของการเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา
ความต้องการมีส่วนร่วมของโรฮิงญาในงานด้านมนุษยธรรม
ข้อมูลทั่วไปของโรฮิงญาในจังหวัดระนอง
เนื่องจากการสอบถามและสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลโรฮิงญา
จำนวน 25 คน ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 25–60 ปี ในพื้นที่ 2 ชุมชน คือ ชุมชนบ้านท่าฉาง ตำบล หงาว และ ชุมชนซอย 2
ตำบลบางริ้น อำเภอเมือง จังหวัดระนอง แต่ละชุมชนมีลักษณะแตกต่างกันดังนี้
1
ชุมชนบ้านท่าฉาง
ตำบลหงาว เป็นชุมชนมุสลิม ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพประมงชายฝั่งทะเล
ผู้ศึกษาได้สัมภาษณ์ตัวแทนโรฮิงญา 10 คน ซึ่งมีอาชีพรับจ้างทั่วไป ทำสวนยางพารา
ประมงพื้นบ้าน และคนงานก่อสร้าง
2
ชุมชนซอย 2
ตำบลบางริ้น เป็นชุมชนที่อยู่ในเขตเมือง ประชากรที่อาศัยจะปะปนกันทั้งประชากรไทย
และแรงงานข้ามชาติพม่า รวมทั้งโรฮิงญา ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้าง สำหรับโรฮิงญาที่อาศัยในบริเวณนี้ส่วนใหญ่มีอาชีพรับซื้อของเก่า
และลูกจ้างในโรงงานคัดแยกของเก่า ผู้ศึกษาได้สัมภาษณ์ตัวแทนโรฮิงญา 15 คนพบว่า
- การศึกษา โรฮิงญาส่วนใหญ่
ไม่ได้รับการศึกษาเลย เพราะเมื่ออยู่ที่ประเทศเมียนมาร์
รัฐบาลไม่อนุญาตให้เรียนหนังสือ และกวดขันกับการเรียนทางศาสนาด้วยเช่นกัน
จึงทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ไม่สามารถเขียนและอ่านภาษาพม่าได้
เพียงแต่พูดและฟังเพื่อใช้ในการสื่อสารได้ดังนั้นเมื่อเข้ามาอยู่ในประเทศไทยก็ไม่มีโอกาสในการศึกษา
ส่วนใหญ่ก็ตั้งใจกับการทำงานมากกว่าที่จะเข้ามาเมืองไทยเพื่อศึกษาต่อ
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันก็พบว่า นโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลไทย [27]
อนุญาตให้บุตรหลานของแรงงานข้ามชาติพม่า รวมถึงโรฮิงญานี้ด้วยได้รับการศึกษาในประเทศไทยได้แล้ว
ดังนั้นจึงพบว่าโรงเรียนระดับประถมศึกษาที่อยู่ใกล้ละแวกที่พักอาศัยของพวกเขาจะมีลูกหลานของคนกลุ่มนี้ได้เรียนหนังสือด้วยอีกทั้งกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เกิดในประเทศไทยก็มีโอกาสได้รับการศึกษาต่อทั้งในระดับประถมศึกษา
มัธยมศึกษา จนกระทั่งระดับปริญญาตรี นอกจากนี้เด็ก ๆ
ก็จะได้รับการศึกษาจากโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม ทั้งกระจายตามบ้านของผู้ที่มีความรู้ทางด้านศาสนาและภาษาอาหรับ
รวมถึงที่มัสยิดที่อยู่ใกล้ ๆ อีกด้วย
- ทักษะด้านภาษา โรฮิงญาที่สัมภาษณ์ส่วนใหญ่มีทักษะด้านภาษาพม่าที่สามารถพูด
ฟังได้อย่างเข้าใจ ส่วนภาษาโรฮิงญาถือว่าเป็นภาษาแม่
เบงกาลีเป็นภาษาที่สามารถสื่อสารได้บ้างแต่ไม่มากนัก
เพราะจะใช้สื่อสารกับคนบังคลาเทศที่อยู่ชายแดนติดกันรวมถึงภาษาอูรดู และภาษาอาหรับ
ซึ่งใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม
สำหรับภาษาไทยสามารถใช้ในการสื่อสารได้ในระดับพอเข้าใจเท่านั้น
สำหรับกลุ่มเด็กที่เกิดในประเทศไทยนั้น
เมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษาของไทยก็จะสามารถพูด ฟัง อ่านและเขียนภาษาไทยได้
- การประกอบอาชีพ พบว่าส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างทั่วไปก่อสร้าง
รับซื้อของเก่า ลูกจ้างในโรงงานคัดแยกของเก่า และเกษตรกรรมเป็นต้น
ทั้งนี้เนื่องจากมักจะเป็นงานที่ไม่ต้องอาศัยทักษะหรือความสามารถพิเศษอื่น ๆ มากนัก อย่างไรก็ตามเดิมโรฮิงญาเหล่านี้เมื่อเข้ามาอยู่ใหม่
ๆ มากกว่า 10 ปีจะมีอาชีพขายโรตี
ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ที่ติดตัวมาแต่เดิมอยู่แล้ว แต่ต่อมาก็ได้มีการเปลี่ยนอาชีพ
และย้ายถิ่นฐานไปจังหวัดอื่น ๆ หรือแม้แต่ไปมาเลเซีย
สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่นานก็จะมีทักษะทางด้านเกษตรกรรม เช่น การทำสวนยาง
การก่อสร้าง ก่ออิฐ ฉาบผิวปูน รวมถึง บางคนเป็นเจ้าของธุรกิจรับซื้อของเก่า
ซึ่งผู้ที่เข้ามาใหม่ ๆ บางคนอาจะไม่มีประสบการณ์ก็จะเริ่มต้นจากการเก็บพลาสติก
และมีทุนมากขึ้นก็ต่อรถเข็นหรือรถพ่วงข้างกับมอเตอร์ไซต์
เป็นต้นซึ่งเฉลี่ยรายได้ประมาณวันละ 250-500 บาทการรับซื้อของเก่า
อวนเก่า เป็นต้น
- ระยะเวลาที่เข้ามาอยู่ในไทย กรณีโรฮิงญาที่สัมภาษณ์นั้น
ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยแล้วมากกว่า 10
ปีทำให้คนกลุ่มเหล่านี้มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตและการทำงานเป็นอย่างดี
รวมทั้งเป็นผู้ที่สามารถช่วยเหลือเครือข่าย ญาติพี่น้องและเพื่อน ๆ ที่เข้ามาใหม่
อย่างไรก็ตามก็ยังพบว่า ผู้ที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยต่ำกว่า 5 ปียังขาดทักษะการสื่อสารด้านภาษาไทย ยังคงใช้ภาษาพม่าเป็นภาษาหลัก
เพราะสามารถสื่อสารกับคนพม่ากลุ่มอื่น ๆ
- ที่อยู่อาศัยของโรฮิงญา
จะอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม ๆ ในชุมชนทั้งสอง โดยจะเช่าบ้าน
ซึ่งมีลักษณะเป็นห้องแถว ชั้นเดียว โดยมีเจ้าของเป็นคนท้องถิ่น ค่าเช่าบ้านประมาณ 1,500-2,500 บาท ขึ้นอยู่ขนาดความกว้างของบ้าน
แต่การอยู่อาศัยนี้พวกเขาและเจ้าของบ้านจะต้องมีการแจ้งผู้ใหญ่บ้าน
รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ (หน่วยงาน กอ.รมน) มาตรวจสอบ
- การปฏิบัติศาสนกิจ“อิสลาม” โรฮิงญาเหล่านี้เป็นผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม
จึงมีความจำเป็นจะต้องปฏิบัติศาสนกิจตามหลักศาสนาอิสลาม ไม่ว่าจะการละหมาด 5 เวลา การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาในมัสยิด
การเรียนภาษาอาหรับ การอ่านพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน การถือศีลอด รวมถึงพิธีการฝังศพ
ซึ่งโรฮิงญาเหล่านี้จะเข้าร่วมปฏิบัติศาสนกิจในมัสยิดเดียวกันกับคนไทยมุสลิมในท้องถิ่น
โดยไม่มีการแบ่งแยกใด ๆ ทั้งสิ้น รวมถึงการเข้าไปร่วมช่วยงานที่จัดขึ้นภายในมัสยิด
ในฐานะอาสาสมัคร รวมถึงเมื่อมีผู้เสียชีวิตก็สามารถนำศพไปฝังในสุสาน “กุโบร์”
เดียวกันกับคนไทยมุสลิมในพื้นที่ได้ เช่นกัน ทำให้โรฮิงญาเหล่านี้หมดความกังวลในเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจทางศาสนา
อีกทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
ของมัสยิดนี้ทำให้พวกตนได้เครือข่ายที่ให้ความช่วยเหลือทุก ๆ ด้านเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะการปฏิบัติศาสนกิจนั้นส่วนใหญ่จะไปร่วมละหมาดทุกวันศุกร์
ที่มัสยิดซอย 2 เพราะเป็นมัสยิดที่สายฮาณาฟี
เป็นมัสยิดที่ก่อตั้งโดยแขกปาทาน ผู้ทำธุรกิจการค้าระหว่างชายแดน ทำให้กลุ่มผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่จะเป็นมุสลิมพม่า
และโรฮิงญา อีกทั้งที่นี่ถือว่าเป็นศูนย์รวมของโรฮิงญาที่จะรวมกัน
รวมทั้งการมารับรู้ข้อมูลข่าวสารสำคัญ ๆ เกี่ยวกับกลุ่มของตนเองอีกด้วย
นอกจากนี้ยังประเพณีวัฒนธรรมอันสอดคล้องกับหลักศาสนาอิสลาม
โดยเฉพาะของกลุ่มโรฮิงญาถือว่า การให้ความสำคัญกับประเพณี
การเจาะหูเด็กผู้หญิงเมื่ออายุ 7-8 ปี และการขลิบอวัยวะเพศเด็กผู้ชายเมื่ออายุ 7-10 ปี
เป็นเรื่องสำคัญโดยจะทำในแต่ละบ้านหรือครอบครัวที่มีลูกสาวหรือลูกชาย
และจะเชิญเพื่อน ๆ ญาติๆ ร่วมทำพิธีนี้ จากนั้นก็เป็นการเลี้ยงอาหาร
ซึ่งถือว่าเป็นกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่ดั้งเดิม
อย่างไรก็ตามในฐานะของโรฮิงญาเอง
เมื่อเข้ามาอาศัยและทำงานในประเทศไทยโดยทั่วไปแล้ว รัฐไทยเองก็ไม่ได้มีนโยบายการจดทะเบียนหรือการเลือกปฏิบัติระหว่างแรงงานข้ามชาติพม่าที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม
[1] เรียบเรียงจากงานวิจัย ได้รับทุนสนับสนุนจากองค์การระหว่างประเทศ
เพื่อการทำงานด้านมนุษยธรรม ปีพ.ศ. 2556
[3]เซ้าท์เทิร์นนิวส์
เมษายน 2551 น. 1
[4]
Amnesty International, May 2004: pp.22 –
30.
[5]
TACDB, 16 Nov 2010.
[6]พล.ท.ภราดร
พัฒนาถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึง “การควบคุมกลุ่มโรฮิงญาไว้ชั่วคราวโดยกักตัวไว้ไม่เกิน
6 เดือนว่า ไม่ถือเป็นการยกระดับ แต่เป็นการเพิ่มความเข้มข้นในการดูแลชั่วคราว
ซึ่งหากเกิน 6
เดือนต้องให้เป็นหน้าที่ของสำนักข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR)
รับไปดูแล ไทยยังยืนยันจะไม่มีการตั้งศูนย์อพยพ ส่วนที่กลุ่มโรฮิงญาเหล่านี้เข้าประเทศไทย
เพื่อหลบหนีเข้าประเทศมาเลเซียนั้น ต้องให้เป็นหน้าที่ของ UNHCR และองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
ขณะที่สมช.ได้ประสานงานไปแล้วทางหนึ่ง ทาง UNHCR ก็ต้องช่วยประสานงานมาเลเซียอีกทางหนึ่งด้วย
เพราะถือเป็นประเทศที่ 3 ส่วนการอพยพเข้าไทยมากขึ้น
ก็ต้องควบคุมให้มีการรวมตัวกันเป็นจุด ๆ
ไม่ให้มีการกระจัดกระจายเพื่อความเรียบร้อย ทั้งนี้สำหรับจำนวนโรฮิงญาล่าสุดที่เข้ามาในไทยมีจำนวน
1,400 คน เราช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม คือ ให้น้ำ อาหาร แล้วผลักดันออกนอกประเทศ”
[7]ชี้แจงการแก้ไขปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองโรฮิงญา
โดยโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) เมื่อวันที่ 7
กุมภาพันธ์ 2556
[8] ผู้จัดการออนไลน์ 28 มกราคม 2556
[9]
Fisher, Jonah , BBC NEWS 21 January 2013
[10]ประชาไท
20 มกราคม 2552
[11] การประกาศกฎอัยการศึก ในราชกิจจานุเบกษา
ให้ใช้กฎอัยการศึกษาทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน
2549 เวลา 21.05 น.
แต่ต่อมาได้มีการประกาศเลิกใช้กฎอัยการศึกษาในบางเขตพื้นที่ ลงวันที่ 26 มกราคม 2550 นั้น
ก็ได้มีการปรับปรุงเขตพื้นที่ใช้กฎอัยการศึกษ
โดยเลิกใช้ในบางพื้นที่ที่หมดความจำเป็นที่จะต้องใช้กฎอัยการศึกแล้ว
และให้ใช้กฎอัยการศึกเพิ่มเติมในบางเขตพื้นที่
ซึ่งจังหวัดระนองก็ยังคงให้ใช้กฎอัยการศึก ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนที่ 5ก วันที่ 9 มกราคม 2551 หน้า 38
[12] สำนักข่าวเจ้าพระยา 24 มีนาคม 2552
[15] อ้างแล้ว เรื่องเดียวกัน
[16] สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2556
[18]คนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า
ซึ่งเดิมพื้นที่เหล่านั้นเคยเป็นดินแดนของไทยมาก่อน
จวบจนกระทั่งได้มีการแลกเปลี่ยนดินแดนในสมัยรัชการที่ 5
กับอาณานิคมอังกฤษ จึงทำให้พื้นที่ดังกล่าวกลายเป็นของพม่า
แต่ยังคงมีชุมชนคนไทยที่ตกค้าง
และเมื่อคนไทยเหล่านั้นเข้ามาทำงานในประเทศไทยในปัจจุบัน
ก็ต้องการเรียกร้องสิทธิความเป็นไทย
จึงได้มีการเรียกร้องขอบัตรแสดงสถานะความเป็นไทย ทางรัฐจึงได้มีการตรวจสอบ และ เป็นบัตรที่เรียกกันทั่วไปว่า
“บัตรไทยพลัดถิ่น” อ้างจากสิริพร สมบูรณ์บูรณะ, 2549: น. 122
[19] สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2556
[20]ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ฉบับประกาศและงานทั่วไป เล่ม 129 ตอนพิเศษ 183 ง ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555
[21] กรมจัดหางาน สำนักงานบริหารแรงงานต่างด้าว 2555
[24] สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2556
[25] สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2556
[26] สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2556
[27] มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2548 ให้มีการจัดการศึกษาอย่างถ้วนหน้า
ส่งผลให้แรงงานข้ามชาติและบุตรหลานสามารถลงทะเบียนเรียนในสถานศึกษาของรัฐและเอกชนได้
No comments:
Post a Comment