Thursday, March 8, 2007

The Village Album











บันทึกไว้ในหัวใจ
The Village Album


เชื่อว่าคนเราทุกคนมีความทรงจำที่ดีจากประสบการณ์ที่ดี เพียงแต่เราจะระลึกถึงและหวนคำนึงถึงมันตอนไหน ? และเราเองอยากจะเก็บความทรงจำที่ดีในรูปแบบใด ? อาจเป็นการบันทึกเป็นเรื่องเล่าผ่านจินตนาการ หรือการบันทึกผ่านกล้องถ่ายภาพ ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่สามารถบันทึกสิ่งต่าง ๆ ได้ แต่ทั้งหมดนี้จะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อผ่านสายตาของเราเอง ด้วยตัวเอง และมีความรู้สึกที่ดีต่อสิ่งที่ถูกบันทึกเหล่านั้น


ความรู้สึกเช่นนี้ดิฉันแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำไป จนกระทั่งได้ชมภาพยนตร์เรื่อง บันทึกไว้ในหัวใจ The Village Album ฉายที่โรงภาพยนตร์ลิโด เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2549 (ฉายมาแล้วเกือบหนึ่งเดือน) และไม่รู้ด้วยว่าภาพยนตร์นี้เนื้อเรื่องและแนวภาพยนตร์เป็นอย่างไร รู้แต่ว่าเป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นเท่านั้น และสาเหตุที่เข้าไปดูเพราะความรู้สึกเซ็ง ! เพราะภาพยนตร์ที่ต้องการดูต้องรอนานมากหลายชั่วโมง จึงตัดสินใจ.....
ภาพยนตร์เรื่องนี้ มีความยาว 111 นาที เป็นภาพยนตร์แนวดราม่า (Drama) โดยมีผู้กำกับชื่อดังของญี่ปุ่นคือ มิตสุฮิโระ มิฮาระ นักแสดงนำ ได้แก่ ทัตสุยะ ฟูจิ รับบทเป็นพ่อ , เคน ไคโตะ รับบทเป็นลูกชาย ,มาโอะ มิยาจิ รับบทเป็นลูกสาวคนเล็ก และ เรน โอสุกิ




จากภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังนานาชาติเซี่ยงไฮ้ครั้งที่ 8 (SIFF Shanghai International Film Festival) (Jin Jue Award International Film Competition) ปี 2005 ภาพยนตร์เรื่องประสบความสำเร็จได้ด้วยฝีมือของผู้กำกับดัง มิตสุฮิโระ มิฮาระ ซึ่งเขาเคยประสบความสำเร็จมาแล้วในภาพยนตร์เรื่อง The Wind Kingdom และได้รับรางวัลกรังปรีซ์ (Grand Prix) จาก เทศกาลหนัง Eokuoka ครั้งที่ 8 (1992) และ ได้รับรางวัลกรังปรีซ์ (Grand Prix) จาก Itami City Script Competition (1993) จากภาพยนตร์เรื่อง Vitamin of Midsummer สำหรับภาพยนตร์เรื่อง The Village Album เป็นภาพยนตร์ที่มิตสุฮิโระ มิฮาระ ต้องการนำเสนอถึงความรู้สึกภายในจิตใจลึก ๆ ของมนุษย์อันอ่อนโยน ที่มีต่อครอบครัวและชุมชนของตนเอง จึงเป็นเรื่องเล่าถึงความแตกแยกของครอบครัวและการกลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง รวมถึงภาพของหมู่บ้านชนบทในอุดมคติที่กำลังจะสูญหายไป
ภาพยนตร์เปิดเรื่องด้วย เสียงเล่าของตัวเอก คือ ทากาชิ ที่เล่าถึงเรื่องราวของบ้านเกิดของเขาและการได้มีโอกาสร่วมงานกับพ่อของเขาในช่วงก่อนที่หมู่บ้านนี้จะอยู่ใต้น้ำ จากนโยบายการสร้างเขื่อนของรัฐบาล ทากาชิ หนุ่มต้นเรื่อง (แสดงโดย เคน ไคโตะ)


เรื่องราวของเรื่องเกิดขึ้นที่หมู่บ้านฮานาตามิ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ท่ามกลางหุบเขา แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ชาวบ้านที่นั่นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย หลายคนอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่เกิด ทำมาหากินและเป็นที่ตายมาหลายชั่วอายุคน รวมถึงบางคนยอมอพยพมาอยู่ที่นั่นเพราะหนีความวุ่นวายของเมืองใหญ่ และหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตที่นั่นจวบจนวาระสุดท้าย แต่จู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อรัฐบาลประกาศว่ามีโครงการก่อสร้างเขื่อนกั้นน้ำในบริเวณนี้ และมีคำสั่งให้ทุกคนอพยพออกจากหมู่บ้านในเวลาอันรวดเร็ว จากเหตุการณ์นี้ทำให้ชาวบ้านเองก็แตกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งต่อต้านการสร้างเขื่อน นำโดยเคนอิจิ ผู้เฒ่าเจ้าของร้านถ่ายรูป และอีกฝ่ายหนึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ในที่สุดฝ่ายต่อต้านกลับต้องพ่ายแพ้ ทำให้สภาตำบลและชาวบ้านต้องกลับมานั่งปรึกษาหารือกันอีกครั้งถึงการใช้เวลาที่เหลืออยู่ ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อเป็นที่ระลึก “อะไรบางอย่าง” จึงมีการลงความเห็นว่า อยากให้ เคนอิจิ ตาเฒ่าเจ้าของร้านถ่ายรูปเก่าแก่ในหมู่บ้าน ผู้เงียบขรึม แต่ใจร้อน ใช้เวลาช่วงสุดท้าย ก่อนทุกอย่างจะหลงเหลือเป็นแค่ความทรงจำ ตระเวนบันทึกภาพผู้คนทุกหลังคาเรือนในหมู่บ้าน เก็บไว้เป็นที่ระลึก ..จัดทำอัลบั้มรูปของหมู่บ้าน ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายของหมู่บ้าน สักเล่มหนึ่ง ...


เคนอิจิตอบตกลงโดยไม่อิดออดใด ๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังยื่นข้อเสนอให้กับทางสภาตำบลว่า ต้องการให้ลูกชายของเขาที่ไปทำงานในโตเกียวกลับมาเป็นผู้ช่วยของเขา สำหรับทากาชิ ลูกชายเองไปอยู่เมืองใหญ่ แต่หลอกทางบ้านว่าตัวเองมีความสุขกับการได้อยู่ในเมืองใหญ่และทำงานเป็นผู้ช่วยช่างกล้องฝีมือดี แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นเพียงแค่เด็กฝึกงาน และทำงานพาร์ทไทม์ในร้านอาหารฟาสฟู้ดเท่านั้น อีกทั้งเช่าห้องเล็ก ไม่มีเงินเก็บแถมยังเป็นหนี้เสียอีก ทากาชิตัดสินใจกลับมาบ้านตามคำขอร้องของเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสภาตำบลและน้องสาวของเขา เมื่อเขากลับมาเขาพบว่า เขาไม่ได้รับการต้อนรับจากพ่อของเขาดีนัก ทั้งนี้เพราะความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกมีค่อยราบรื่น ทั้งคู่มีความคิดเห็นไม่ค่อยลงรอยกัน และมีปากเสียงกันหลายครั้ง


วันทำงานของสองพ่อลูกก็เริ่มขึ้น ตั้งแต่เช้า โดยตาเฒ่าเคนอิจิ แบกกล้องสะพายหลัง ส่วนทากาชิช่วยถืออุปกรณ์ขาตั้งกล้อง ตาฒ่าเคนอิจิเริ่มต้นโดยการเดินไปตามถนนเล็ก ๆ ขึ้นเขาลงเขาไปตามบ้านต่าง ๆ ในหมู่บ้าน ส่วนทากาชิไม่พอใจต้องการนั่งรถยนตร์ เพื่อความสบายและรวดเร็ว โดยไม่เข้าใจว่าพ่อของเขาเดินทำไม ในเมื่อตัวเองก็ไม่แข็งแรง ทำให้สองพ่อลูกมีความเห็นที่ขัดแย้งที่รุนแรง จนถึงชกต่อยกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทากาชิค้นพบก็คือ การเดินของพ่อมีค่ามาก เพราะได้เก็บบันทึกความทรงจำและรายละเอียดของภาพหมู่บ้านได้ครบตลอดเส้นทาง นั่นคือสิ่งที่คนรุ่นใหม่อย่างเขาไม่เคยคิดถึงและตระหนักกับรายละเอียดของสิ่งเหล่านี้ เขาเองเริ่มเห็นมุมใหม่ ๆ ของพ่อ และเริ่มเข้าใจพ่อมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยในชีวิต

การนำเสนอของภาพยนตร์เรื่องนี้มิได้นำเสนอแต่เพียงเรื่องราวความสัมพันธ์ของพ่อลูกเท่านั้น แต่เป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์และความเอื้ออาทรกันของผู้คนในชนบท เช่น การที่เคนอิจิได้ถ่ายภาพครอบครัวของเพื่อนสนิท ซึ่งมีพ่ออายุกว่า 90 ปีได้มีโอกาสถ่ายภาพร่วมกับลูกหลานและเหลนจำนวนมาก และพ่อของเขาเองก็ไม่เคยถ่ายรูปมากก่อน หลังจากที่ได้ถ่ายภาพนั้นได้ 2-3 วัน ก็เสียชีวิต ทำให้เห็นเพื่อนของเขาต้องมาขอบคุณเคนอิจิอย่างมาก รูปภาพวันนั้นเป็นเครื่องบันทึกความทรงจำของครอบครัวเขา

การเดินทางของเคนอิจิกับทากาชิขึ้นไปบนภูเขา ห่างจากหมู่บ้านหลายกิโลเมตร ที่นั่นเป็นบ้านของยายเฒ่าอายุ 80 กว่าปี อาศัยอยู่เพียงคนเดียว หาเลี้ยงตัวเองด้วยการปลูกผักและผลไม้ และนับเวลานานหลายปีหลังจากที่สามีของยายเฒ่าเสียชีวิตไป ยายเฒ่าไม่เคยลงจากเขามาเลย เมื่อเคนอิจิขึ้นไปเพื่อขอบันทึกภาพ ยายเฒ่าดีใจมากและยายเฒ่าก็ได้มีโอกาสถ่ายรูปกับสามีและลูกชายอีกครั้ง ยายเฒ่าจึงตอบแทนสองพ่อลูกด้วยผลไม้สด แต่ความสัมพันธ์มิได้หยุดเพียงเท่านั้น ครั้นเคนอิจิไม่สบายต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน เคนอิจิและทากาชิต้องประหลาดใจอย่างมาก เมื่อยายเฒ่าลงจากเขามาเยี่ยมเคนอิจิ พร้อมด้วยผลไม้สดจากสวน ภาพยนตร์ได้สื่อถึงภาพของสัมพันธ์ที่เอื้ออาทรซึ่งกันและกันไม่แบ่งชนชั้น แบ่งเพศ แบ่งวัย นอกจากนี้เคนอิจิได้ทำให้ลูกชายของเขาเห็นคุณค่าของงานที่ตัวเองรัก และการให้ความสำคัญกับการสร้างงานให้มีคุณค่า ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทากาชิเองได้มีโอกาสเรียนรู้จากพ่อของเขา


จุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ อยู่ที่การถ่ายทอดความงดงามของชีวิตผู้คนในชนบท ได้อย่างเป็นธรรมชาติ แม้จะมีหลายตอนที่บีบคั้นเร้าอารมณ์ แต่ภาพที่ถูกนำเสนอเรียบง่าย นิ่งและส่งผลให้ผู้ชมเองรู้สึกถึง “ความจริงใจ” ของภาพยนตร์ที่สื่อออกมา แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกวิจารณ์ว่า เป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอเนื้อหาของเรื่องเชิงสารคดีแบบง่าย ๆ ได้อย่างมีศิลปะ และสามารถเข้าถึงจิตใจของมนุษย์ด้วยวิธีการเรียบง่าย ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ของพ่อลูก ความสัมพันธ์เพื่อนบ้าน ความสัมพันธ์ของคนต่างรุ่น ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน นับว่าเป็นภาพยนตร์ที่สัมผัสถึงความรู้สึกทางจิตใจของเราได้อย่างดี


สำหรับดิฉันแล้ว เมื่อชมภาพยนตร์ที่จบความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้น คือ คิดถึงพ่อ และโหยหาบ้านเกิดในชนบทเมื่อวัยเยาว์ที่เราผ่านมาร่วมหลายสิบปี ทำให้เราเห็นคุณค่าของความทรงจำที่ดีที่ควรบันทึกไว้สุดลึกของหัวใจเรา และพร้อมจะถ่ายทอดด้วยความจริงใจให้กับคนรุ่นหลังอย่างมีคุณค่า