Tuesday, February 13, 2007

หนทางไหนดี ? รักนี้เพื่อข้าหรือแผ่นดิน ?







หนทางไหนดี ? รักนี้เพื่อข้าหรือแผ่นดิน ?




¯ประเทศชาตินี้ของคุณ ดินแดนนี้ของคุณ กำลังเรียกหาคุณอยู่ นี่คือสายสัมพันธ์ที่มิมีวันขาด
กลิ่นหอมของดินนั้น คุณจะลืมลงได้อย่างไร คุณจะไปที่แห่งใดก็ตาม คุณจะต้องหวนกลับมา
จากหนทางใหม่ ๆ ที่ก้าวไป ....ความสุขทุกอย่างที่ได้โปรยลงมาชโลมตัวคุณ
แต่คุณอยู่ห่างไกลบ้านของคุณ หวนกลับไปเถิดคนคลั่งไคล้
ที่ซึ่งมีใครเห็นคุณเป็นคนของเขา เรียกร้องคุณอยู่...
ช่วงเวลานี้ก็เหมือนกัน ซึ่งหลบซ่อนอยู่ จบไปหนึ่งสมัย จบไปทั้งชีวิต
คุณเป็นคนบอกว่าจะไปหนทางไหนดี...ไปหนทางนำไปสู่ชาตินั้น...¯

เพลงประกอบภาพยนตร์ Swades โดย A.R. Rahman

ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังสับสนกับตัวเองว่าจะเลือกเดินบนเส้นทางไหนดี ระหว่างความก้าวหน้าของชีวิตในหน้าที่การงานแต่ไร้การโอบกอดจากคนที่เรารักกับอีกเส้นทางหนึ่งที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจากอ้อมกอดของคนที่เรารักและคนที่เขารักเรา คุณจะเลือกเส้นทางใด ?
แหละนี่ ! คือ คำถามที่เรามักจะถามตัวเองอยู่เสมอว่า กำลังทำอะไรอยู่ ? จะอยู่ได้อีกนานหรือไม่ ? จะทนอีกสักเท่าไร ? เพราะเมื่อดูภาพยนตร์เรื่อง Swades We, the people หรือ รักข้าเพื่อแผ่นดิน ทำให้กลับมาย้อนตัวเองเหมือนกัน ว่า ชีวิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ...เรามีความสุขหรือยัง ? เราเพียงพอหรือไม่ ? ...และที่สำคัญเราเคยทำอะไรให้กับบ้านเกิดเมืองนอนของเราบ้างหรือเปล่า ? เพราะภาพยนตร์เองได้สื่อความหมายบางอย่างให้เรา ได้คิดและตระหนักถึงความจริงในสังคม และความจริงเหล่านั้นเราจะรับรู้และจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไร โดยมิได้อยู่อย่างนิ่งเฉย และมองว่า ไม่ใช่เรื่องของเรา ภาพยนตร์เรื่อง Swades We, the people หรือ รักข้าเพื่อแผ่นดิน ภาพยนตร์อินเดีย แนวดราม่า เป็นเรื่องราวของ โมฮัน ชายหนุ่มนักวิทยาศาสตร์หัวก้าวหน้าอนาคตไกล และหัวหน้าโครงการสำรวจอวกาศ ของNASA เขาจากบ้านมาอยู่อเมริกานานมาแล้ว วันหนึ่งโมฮันคิดถึงแม่นมจึงกลับไปยังอินเดียอีกครั้ง โดยมีความตั้งใจที่จะรับเธอมาอยู่ด้วย แต่แม่นมของเขาย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว โมฮ้นตามหาจนพบที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีความสงบ เรียบง่าย ทำให้เขานึกถึงช่วงชีวิตวัยเด็ก ที่นีโมฮันได้พบกับกีตา สาวสวย ทั้งสองต่างชอบพอกัน โมฮันต้องการพากีตา และแม่นมของเขากลับอเมริกา แต่กีตาไม่ยอม เธออยากอยู่เพื่อช่วยเหลือพัฒนาหมู่บ้านให้ดีขึ้น สุดท้ายโมฮันก็ต้องตัดสินใจเลือกระหว่างอนาคตที่กำลังรุ่งโรจน์ และบ้านเกิดที่เพียบพร้อมไปด้วยความรักและความอบอุ่น¸
Swades เป็นภาพยนตร์อินเดียที่ทำให้เรารู้สึกถึงความรักที่แท้จริง และอ้อมกอดของคำว่า “บ้านเกิด” ผู้เขียนบทและผู้กำกับเรื่องนี้คือ Ashutosh Gowariker เป็นคนคนเดียวที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอคาเดมี (Academa Award) จากเรื่อง Lagaan และที่สำคัญชารุส ข่าน (Shahrukh Khan) ได้รับรางวัลปี 2005 ผู้แสดงนำยอดเยี่ยม (Best Actor) จาก Global Indian Film Award (GIFA) และจาก Film Caf’e Award และเขาจัดว่าเป็นนักแสดงที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดี อีกทั้งสามารถสื่อถึงอารมณ์และบุคลิกของโมฮันได้เป็นอย่างดี
Swadesจึงเป็นภาพยนตร์หนึ่งในดวงใจของเรา เพราะไม่เพียงแต่เนื้อเรื่องที่กินใจและสะท้อนสภาพสังคมแล้ว นักแสดงเป็นส่วนหนึ่งที่สื่อและสร้างสีสันให้ภาพยนตร์น่าติดตามและเข้าใจการดำเนินเรื่องอย่างดี สามารถถ่ายทอดสำนึกของเราต่อบ้านเกิดเมืองนอน และเชื่อว่าถ้าพวกเราได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วจะทำให้คิดถึงบ้านของเราอย่างมาก ตัวภาพยนตร์เองก็ทำให้เราต้องตระหนักถึงสิ่งที่เราควรจะต้องทำให้กับบ้านเมืองของเรา ภาพยนตร์ได้นำเสนอความขัดแย้งของคู่ตรงข้ามระหว่างความเจริญทันสมัย และความล้าหลังของ เปรียบเทียบโลก2 โลกที่โมฮันต้องเผชิญและใช้ชีวิตอยู่บนโลกทั้งสอง นั่นคือ โลกแห่งเทคโนโลยีทันสมัยอย่างนาซ่า และโลกที่เต็มไปด้วยสีสันของการพัฒนาของอินเดีย ซึ่งโมฮันเองก็กำลังค้นหา “บ้าน” ซึ่งเขามองว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของอินเดีย ขณะเดียวกันสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของอินเดียก็คือ ความยากจน , ระบบวรรณะที่ยังคงมีอยู่ และการขาดการศึกษา และนั่นทำให้เขาตัดสินเปลี่ยนแปลงชีวิตเพื่อทำอะไรบ้างอย่างเพื่อประเทศชาติของเขาเท่าที่ตนเองจะทำได้
ภาพยนตร์ได้นำเสนอ ประเด็นเกี่ยวกับปัญหาต่าง ๆ ของประเทศอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นความยากจน การแบ่งชนชั้นวรรณะ การกีดกั้นโอกาสทางการศึกษาของกลุ่มวรรณะต่ำ ความแห้งแล้ง แนวความคิดที่ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีแบบดั้งเดิมที่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ถูกมองผ่านสายตาของโมฮัน ที่มองเห็นและเกิดการเปรียบเทียบถึงรากเหง้าของปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งการดำเนินเรื่องของภาพยนตร์จะมีแง่มุมต่าง ๆ ที่เมื่อเราชมและฟังบทสนทนาแล้ว จะสามารถเข้าใจประเด็นที่ผู้กำกับต้องการนำเสนอเรื่องราวเพื่อพูดคุยกับผู้ชม
อย่างเช่น การถกเถียงกันระหว่างโมฮันกับกีตา
“...เป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ในวัฒนธรรม ขัดขวางทำให้ความก้าวหน้าของประเทศ...” โมฮัน
“...ถ้าขาดจารีตและวัฒนธรรมแล้ว ชาติจะเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ...”
แสดงถึงความสำคัญของวัฒนธรรมจารีตประเพณีของสังคมทุกสังคมมีคุณค่าและมีความหมายต่อคนในสังคม เพราะถ้าคนในประเทศนั้น ๆ ไม่มีและไม่สามารถรักษาไว้ได้ก็เท่ากับว่าความเป็นตัวตนของเราได้หายสาบสูญไป ซึ่งเป็นนัยยะสำคัญของการกล่าวถึงว่า คุณจะเป็นใครหรือคุณจะอยู่ที่ไหน ที่สำคัญคุณก็คือคนของชาติที่คุณเกิด และชาติที่คุณเกิดจะบอกความเป็นคุณได้ก็ต้องมีวัฒนธรรมจารีตประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันมา
นอกจากนี้ประเด็นของระบบวรรณะที่เป็นอุปสรรคของการพัฒนาประเทศอินเดีย ทำให้เกิดการกีดกั้นไม่ว่าจะเรื่องการศึกษา , การทำมาหากิน , การเมืองการปกครอง หรือแม้แต่เรื่องของการดูหนังกลางแปลงของคนในหมู่บ้าน ที่ถูกกั้นด้วยผ้า และจากเหตุการณ์ไฟดับ โมฮันได้เชิญชวนให้เด็ก ๆ และชาวบ้านดูดาวบนท้องฟ้า ซึ่งเปรียบเสมือนว่าทุกคนมีโอกาสได้ดูดาวบนท้องฟ้าเหมือนกัน อยู่บนพื้นที่ ๆ เดียวกัน เห็นดวงดาวเหมือนกัน และเมื่อนายไปรษณีย์ดึงผ้ากั้นออก ทุกคนก็อยู่รวมกันและสามารถเห็นดวงดาวรูปต่าง ๆ เหมือนกัน ซึ่งภาพยนตร์ได้แสดงถึงโอกาสของการเรียนรู้ของผู้คนที่เท่าเทียมกัน
และสิ่งที่มิอาจละเลยได้คือ ไฟฟ้า เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญ และคิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องพึ่งพาจากภายนอกหรือรัฐบาล แต่สิ่งที่โมฮันร่วมทำกับชาวบ้านคือการสร้างฝายเก็บน้ำและผลิตกระแสไฟฟ้า โดยไม่ต้องพึ่งพาภายนอก แต่อาศัยกำลังแรงงานของผู้คนในหมู่บ้าน
นี่คือบางประเด็นเท่านั้นที่เรายกตัวอย่างขึ้นมากล่าวถึงอย่างสั้น ๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความยาวถึง 210 นาที เนื้อหาดำเนินไปเรื่อย ๆ แต่มีความน่าสนใจน่าติดตามและไม่จัดว่าเป็นภาพยนตร์ที่มีเสียงเพลงและฉากเต้นเหมือนภาพยนตร์บอลลี่วู้ด (Bollywood) ทั่วไป เพราะมีเพียงแค่ 7 เพลงเท่านั้น แต่ประเด็นของเนื้อหาของเรื่อง การสื่อสารถึงผู้ชมเป็นการเชิญชวนให้ผู้ชมได้ร่วมคิดและพูดคุยกับภาพยนตร์นี้ได้อย่างน่าสนใจ
ฉะนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้ผู้สนใจได้มีโอกาสได้ชม และคิดว่าน่าจะเป็นภาพยนตร์ในดวงใจของคุณอีกสักเรื่องหนึ่ง


No comments:

Post a Comment