Sunday, September 22, 2013

มนุษยธรรมกับผลของสารพิษทางการเมืองต่อศีลธรรม ?

มนุษยธรรมกับผลของสารพิษทางการเมืองต่อศีลธรรม ?

จากสึนามิถึงน้ำท่วม จากน้องผู้หิวโหย ถึงผู้ติดเชื้อเอชไอวี จากผู้ลี้ภัยชาวกระเหรี่ยงถึงโรฮิงญา จากเด็กขอทานถึงน้องที่ถูกลักพาตัว ภัยพิบัติต่าง ๆ รวมถึงปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้นนี้ มันยากที่เราจะทำเป็นเพิกเฉยหรือห่างเหินกับมัน ซึ่งภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นถูกเกี่ยวโยงกับอารมณ์ความรู้สึกเป็นสำคัญ สิ่งที่เราต้องนึกถึงความอ่อนล้าที่จะตอบโต้กับความโชคร้ายของเหยื่อ เรื่องราวเหล่านี้อาจจะคลี่คลายได้และบางเรื่องราวอาจจะล้มเหลว แต่เรื่องราวเหล่านี้ก็ถูกรวมไว้กับอีกมุมหนึ่งเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคม
ดังปรากฏให้เห็นถึงผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเหยื่อ เช่น การส่งเงินให้กับนักเรียนที่ยากจน การต่อสู้ของนักกิจกรรมที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ผู้ใจบุญที่รักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การบริจาคข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อทำให้สิ่งที่แตกต่างกันได้กลายเป็นประสบการณ์ความคิดเรื่องศีลธรรมบนโลกนี้เพิ่มมากขึ้น อาจเรียกได้ว่า ความช่วยเหลือเหล่านี้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม คำ ๆ นี้จึงถูกพูดถึงอย่างมากในบริบทของความเมตตา กรุณา ความเห็นอกเห็นใจกัน การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ การทำบุญ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมือง การโฆษณาเชิญชวน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ต้องมาทบทวนว่า “มนุษยธรรม” มีความหมายว่าอย่างไร มีลักษณะอย่างไร ที่สำคัญงานด้านมนุษยธรรมเป็นงานแบบไหนกันแน่?
แน่นอน ! คำว่า “มนุษยธรรม” ตามความหมายจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน คือ “ธรรมของมนุษย์ ธรรมที่มนุษย์พึงมีต่อกัน มีความเมตตากรุณา” ขณะที่คำว่า “มนุษยธรรม” ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรพัฒนาเอกชน นั้นหมายถึงความเห็นอกเห็นใจ การยื่นมือเข้าช่วยเหลือและปกป้องผู้อื่นโดยไม่คำนึงว่าเขาจะเป็นใครหรือทำอะไรมา ถือว่าเป็นเรื่องของการเชิดชูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่เป็นที่ต้องการของสังคม โดยยึดเป็นมาตรฐานในการทำงานเพื่อมนุษยชาติบนสังคมโลกนี้ ซึ่งประกอบด้วยความเป็นมนุษย์ ความเป็นกลาง อิสรภาพ และความยุติธรรม
แต่ขณะเดียวกันมนุษยธรรมนิยมเองก็ได้สะท้อนให้เห็นถึง เรื่องที่อยู่ระหว่างการเมืองและศีลธรรมที่ถูกจัดการโดยรัฐ (บาล)องค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่วางตนเป็นเป็นศูนย์กลางและทำให้เป็นทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องที่ไม่ก็เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ประชาชนอย่างเรา ๆ ก็ถูกกันออกจากเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งด้านสิ่งแวดล้อม  ความขัดแย้งทางศาสนา ลัทธิทางการเมือง รวมถึงเชื้อชาติ เป็นต้น การช่วยเหลือต่าง ๆ ที่ผ่านมามักจะถูกตั้งคำถามเสมอ ๆ ถึงความเป็นกลาง รวมทั้งความเป็นเรื่องของทางโลกหรือความศรัทธากันแน่?
ภาพพจน์ของความหายนะต่าง ๆ และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมักจะถูกสร้างขึ้นและตอกย้ำผ่านสื่อโทรทัศน์ สื่อออนไลน์ต่าง ๆ ถูกนำเสนอและแพร่หลายมากขึ้น ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือของเล่ห์เหลี่ยมภายใต้ร่มเงาของผู้มีอำนาจและใช้มนุษยธรรมเหล่านี้ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน โดยคำสั่งที่แตกต่างกัน แรงกระตุ้นและระบบของความรู้สึกที่เป็นหนี้บุญคุณและความช่วยเหลือ อย่างน้อยที่ยังเหลืออยู่ให้เห็น ความพยายามอย่างกล้าหาญของนักสังคมสงเคราะห์มืออาชีพ และการแสดงความรู้สึกทุกข์ทรมานกับเหยื่อที่แสนเลวร้ายนั้น พวกเขาก็ให้ความช่วยเหลือดูแล แม้ว่าบางครั้งอาจไม่มีใครได้ยิน เป็นการทำอย่างไร้สถานภาพ และปราศจากการเห็นคุณค่าจากผู้อื่น ดังนั้นความชัดเจนของหลักมนุษยธรรมนิยมที่เกิดขึ้นเฉพาะเรื่องหรือเฉพาะที่นั้นจึงควรเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตามเพื่อคลายความสงสัยเกี่ยวกับมนุษยธรรม ที่อยู่ท่ามกลางความมีศีลธรรมและอำนาจทางการเมือง  ที่สำคัญการผูกยึดอยู่กับความเชื่อทางศาสนา ไม่ว่าเรื่องบาป บุญ ความเมตตา กรุณา สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อความศรัทธาที่มนุษย์เราเชื่อว่าต้องช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า เหยื่อผู้เผชิญกับสิ่งโหดร้ายเลวทราม ดังนั้นเราจะเห็นรูปแบบต่าง ๆ ที่องค์กรระหว่างประเทศ องค์กรพัฒนาเอกชน รวมถึงเอกชน และมูลนิธิต่าง ๆได้พยายามเข้ามาให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนต่าง ๆ ที่ประสบปัญหา หรือเป็นเหยื่อจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติตามธรรมชาติ หรือสงคราม รวมถึงความยากจน  เป็นต้น ผ่านแนวความคิด “มนุษยธรรม” ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากสื่อออนไลน์ ผ่านเฟชบุ๊คต่าง ๆ อาทิ การประกาศเด็กหาย การบริจาคข้าวของเครื่องใช้เพื่อผู้ประสบอุทกภัย รวมถึงการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทางการเมือง เป็นต้น
กรณีการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่ปรากฏให้เห็นในประเทศไทย มีการช่วยเหลือในรูปแบบต่าง ๆ โดยอ้างคำว่า “มนุษยธรรม” เป็นเครื่องมือนำทาง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่ายผู้ลี้ภัย การส่งต่อประเทศที่สาม การบริจาคข้าวของเครื่องใช้ การตรวจสุขภาพ การให้การศึกษาความรู้และทักษะต่าง ๆ การคุ้มครองชีวิต เป็นต้น แต่ถูกจำกัดอยู่เฉพาะการทำงานกับผู้ลี้ภัยบางกลุ่มที่รัฐอนุญาตเท่านั้น แต่ผู้ลี้ภัยบางกลุ่มไม่สามารถถูกยกระดับให้เป็นผู้ลี้ภัยได้อย่างเปิดเผย หรือแม้นกระทั่งการรับรองพวกเขาในฐานะผู้ลี้ภัย จะพบว่ารัฐเองมีมาตรการไม่รับรองคนกลุ่มนี้ และพยายามผลักดันให้ออกนอกประเทศ หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงคนกลุ่มนี้ รวมถึงการจับกุมหรือควบคุมพวกเขาก็ไม่ต่างไปจากนักโทษที่ก่ออาชญากรรม ในขณะเดียวกันท่าทีขององค์กรระหว่างประเทศ หรือองค์กรทางศาสนาเองก็ไม่สามารถออกหน้าออกตารับรองพวกเขาเหล่านี้ได้อย่างโดยตรง ทั้งนี้เพราะการถูกจับจ้องหรือจ้องมองโดยภาครัฐ ที่มองว่าอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับการบ่อนทำลายชาติหรือความมั่นคงของชาติ

หากว่าพยายามอ้างถึงการให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมแล้ว ในความเป็นจริงแล้วผู้รับความช่วยเหลือเหล่านี้ได้รับจริงหรือเปล่านั้น เพราะมันจะคงปนเปื้อนไปกับหลักการทางการเมืองที่ผสมยาพิษไว้อยู่ ขณะที่ผู้ให้ความช่วยเหลือเองยึดถือความเชื่อความศรัทธาที่ควบคู่ไปกับเรื่องการเมืองทำให้ผู้รับช่วยเหลือเองก็หวั่นวิตกอยู่ตลอดเวลา รวมถึงความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันที่เกิดขึ้น แหละนี่เอง! เราอาจต้องกลับมามองอีกด้านหนึ่งเหมือนกันว่า แล้ว ในฐานะ “ผู้รับการช่วยเหลือ” ล่ะ จะเป็นอย่างไร?

Wednesday, March 6, 2013

โดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย: วิถีการเรียนรู้ด้วยตนเองท่ามกลางความสับสน"



"โดดเดี่ยว แต่ไม่เดียวดาย: วิถีการเรียนรู้ด้วยตนเองท่ามกลางความสับสน"

อ.สิริพร สมบูรณ์บูรณะ
“ทำไมต้องไปเรียนที่อินเดียด้วย”  “ไปอินเดียลำบากน่ะ”  “จะอยู่ได้เหรอ..เห็นแขกกับงู..ก็ต้องตีแขกก่อน” “มาตรฐานการเรียนสู้ตะวันตก อเมริกา ฮ่องกง หรือสิงคโปร์ไม่ได้หรอก”

สารพัดจะมีทั้งคำถามและคำแนะนำที่เป็นข้อกังขาเกี่ยวกับอินเดีย แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้จากศาสตราจารย์ชาวไต้หวันท่านหนึ่ง..ท่านถามเราว่า “คุณสนใจเรื่องอะไร...คุณเรียนจบอะไรมา..”
เราก็ตอบไปว่า “ฉันเรียนจบมานุษยวิทยา สนใจเรื่องเกี่ยวกับคนชายขอบ ...ปัญหาสังคม..ฯลฯ”
ศาสตราจารย์:  “แล้วทำไมคุณคิดจะไปเรียนที่แถบตะวันตก อังกฤษ อเมริกาล่ะ...คุณทำไมไม่เรียนรู้เรื่อง เอเชียด้วยกัน เรื่องราวใกล้ตัวคุณ ปัญหาใกล้เคียงกัน...ศาสตราจารย์ชื่อดังระดับเจ้าพ่อทฤษฎีที่สนใจเรื่องชายขอบ คนที่ถูกกดทับของสังคมก็อยู่ในเอเชีย “อินเดีย” ไงล่ะ”

 จากวันนั้นทำให้เรามุ่งความสนใจไปที่อินเดีย ซึ่งแน่นอนการเรียนต่อระดับปริญญาเอกในอินเดียนั้น หมายความว่า คุณต้องช่วยเหลือตนเองอย่างสูง นั่นคือ การทำวิจัย มุ่งเน้นการค้นคว้าข้อมูลไม่ว่าจะเป็นในห้องสมุด หรือการเก็บข้อมูลภาคสนาม อย่างไรก็ตามอินเดียถือว่าเป็นประเทศหนึ่งที่มีนักศึกษาไทยนิยมไปเรียนทุกระดับ ตั้งแต่ระดับประถม มัธยมศึกษา ปริญญาตรี-โท-เอก หรือเรียนเฉพาะด้านภาษา ถือว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ใกล้บ้านเรา (เมืองไทย) ราคาถูก ค่าใช้จ่ายค่าครองชีพไม่สูงนัก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกลุ่มนักศึกษาไทยที่ไปบุกเบิกอินเดียกลุ่มแรก อาจเรียกได้ว่า เป็นกลุ่มพระสงฆ์นั่นเอง ต่อมาเริ่มมีฆราวาสจำนวนเพิ่มมากขึ้น และบางเมืองมีน้อง ๆ มุสลิมไปเล่าเรียนไม่ต่ำกว่า 50 คนต่อปี ในทุก ๆ ระดับเช่นกัน และในช่วงหลายปีมานี้ ทางรัฐบาลอินเดียได้ให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาไทยทั้งในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกจำนวนมาก ทำให้ในปัจจุบันมีนักศึกษาไทยกระจัดกระจายอยู่ในหลาย ๆ รัฐของอินเดีย
   
แน่นอนการเรียนต่างบ้านต่างเมืองของแต่ละที่ก็ไม่ต่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดถึงอินเดียแล้ว แน่นอน! ต่างแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิต อาหารการกิน ภาษา วัฒนธรรม ชนชั้นวรรณะ ปัญหาคนจนข้างถนนจำนวนมาก ปัญหาความแออัด การแย่งชิง ความไม่เป็นระเบียบ การแซงคิว ความสกปรก ความเจ้าเล่ห์ ฯลฯ แต่อาจเป็นความโชคดีที่ได้มาเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีล้อมรอบด้วยผืนป่า ระบบของมหาวิทยาลัยทันสมัย (เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในอินเดียด้วยกัน แต่ไม่สามารถเทียบเท่าได้กับความทันสมัยของมหาวิทยาลัยในบ้านเรา) การใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน ห้องสมุดพร้อมทรัพยากรเก่าใหม่ และระบบอินเตอร์เน็ต เป็นต้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า การเรียนที่นี่จะปูพรมด้วยดอกไม้ที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นระบบการเรียนการสอน การลงทะเบียน การล่าลายเซ็น การคบเพื่อนต่างชาติต่างภาษา การสอบ เป็นต้น
สำหรับพวกเราการเรียนที่นี่การปรับตัวเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงแขก (อินเดีย)ที่เร็วมาก การสอนของอาจารย์ในห้องเรียนช่วงหนึ่งชั่วโมงแรกเน้นการสอนแบบบรรยาย ส่วนครึ่งชั่วโมงหลังเน้นการซักถามแลกเปลี่ยนถกเถียง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็คือ นักศึกษาแขก (อินเดีย)จะแย่งกันยกมือซักถามอาจารย์ บ้างก็ถกเถียงอาจารย์ทั้งในและนอกประเด็น ส่วนพวกเราก็ได้แต่ก้มหน้าหงุด ๆ เพราะกลัวอาจารย์ถาม หรือไม่ก็กลัวตอบอะไรผิดๆ โง่ๆๆ ไป แต่ที่ไหนได้คำถามและคำตอบของเราดีกว่านักศึกษาอินเดียบางคนด้วยซ้ำไป แต่ปัญหาของพวกเราก็คือ “ภาษา”นั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นการฟัง อ่าน พูด หรือแม้แต่การยืมเล็คเชอร์ที่เพื่อนบางคนแสนจะหวง แต่บางคนก็ยินดีเพราะเข้าใจปัญหาของพวกเรา เป็นต้น อย่างไรก็ตามการเรียนการสอนในห้องเรียนไม่เพียงพอสำหรับเรา อาจารย์จะมอบหมายงานให้อ่านให้ค้นคว้า และทำการบ้านส่ง รวมทั้งการทำงานกลุ่มเพื่อช่วยกันอ่านช่วยกันติว แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ซึ่งแน่นอนก็ไม่ต่างจากเด็กไทยมากนัก เพราะก็มีทั้งผู้ที่เอาเปรียบไม่ช่วยงานกลุ่มก็มีเหมือนกัน แต่สำหรับพวกเราเด็กไทยที่นี่แล้ว ถือว่า งานนี้เป็นสิ่งที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพเรามากขึ้น

 สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเรายอมเด็กแขก (อินเดีย)ไม่ได้คือ “การค้นคว้า” นั่นหมายถึง เวลาว่างมากกว่าร้อยละ 60 ที่มีอยู่ก็จะคลุกอยู่กับการค้นคว้าและอ่านหนังสือไม่ว่าจะเป็นในห้องสมุด หรือในห้องพักที่ต้องลงทุนในการติดตั้งอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง แต่สำหรับที่นี่ถือว่าห้องสมุดเป็นศูนย์รวมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเอกสารประเภทใดชนิดใด เก่าใหม่ รวมถึงเอกสารวารสารที่เป็น e-book และ e-journal ก็สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย ฯลฯ ดังนั้นการใช้ห้องสมุดจึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่นักศึกษาจำนวนมากเข้าไปค้นคว้า อ่านหนังสือ ฯลฯ อย่างเต็มที่ ทั้งนี้เพราะห้องสมุดในส่วนหลักจะเปิดตั้งแต่ 9.00 -23.30 น. (ปีหนึ่งจะปิดเพียงแค่วันหยุดสำคัญๆ เพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น) และมีห้องอ่านหนังสือขนาดใหญ่ที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ห้องสมุดจึงไม่เคยว่างเว้นจากการมีนักศึกษาเข้าไปใช้บริการตลอดเวลา แม้ว่าห้องสมุดจะไม่เริ่ดหรูอลังการเหมือนห้องสมุดในประเทศไทย ที่ทุกห้องต้องเป็นห้องแอร์ มีที่นั่งสบาย ๆ มีหนังสือจัดวางโชว์อย่างสวยงามบนหิ้ง แต่ไม่มีใครแตะหรือหยิบมาอ่านให้ช้ำจนยับเยิน (บรรณารักษ์น่าจะยินดีกับการที่หนังสือถูกหยิบจนยับเยิน มากกว่าจะดูแลถนอมไว้อย่างสวยงาม) สำหรับห้องสมุดที่นี่แล้วหนังสือแต่ละเล่มผ่านการใช้งานอย่างคุ้มค่าและโชกโชน ยับเยิน อีกทั้งแต่ละห้องมีเพียงแค่แอร์เก่าๆ เสียงดัง บางห้องมีแต่พัดลมเพดานพัดเสียงดัง ตรึกๆๆๆ เหมือนจะหลุด หรือแม้แต่โต๊ะเก้าอี้ที่นั่งจนก้นทะลุ แย่งชิงกันเหมือนเล่นเก้าอี้ดนตรี แต่ก็เป็นเสมือนสวรรค์สำหรับนักศึกษาอย่างเรา ๆ ที่นี่แล้ว

 นอกจากนี้ยังมีห้องสมุดเฉพาะด้านอีกมากมายนอกมหาวิทยาลัยที่รองรับการบริการในการค้นคว้า ถือว่าเป็นแหล่งค้นคว้าเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ห้องสมุดเฉพาะด้านแต่ละแห่งนั้นมีการจัดการ ให้สอดคล้องกับแนวคิดใหม่ จำนวนและคุณภาพของหนังสือ วารสาร เทป วีดิทัศน์ ตลอดจน อุปกรณ์ที่ช่วยในการค้นคว้า เช่น คอมพิวเตอร์ การติดต่อกับห้องสมุดอื่น โสตทัศนูปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเป็นตัวช่วยอย่างมากในการเสริมให้พวกเราได้เรียนรู้ด้วยตนเอง สามารถนำตนเองได้เป็นอย่างดี
แต่การใช้ชีวิตในห้องสมุดไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จในโลกวิชาการและการเรียนรู้ได้เท่านั้น แต่สิ่งหนึ่งที่จะเป็นตัวช่วยได้คือ “เพื่อน” ไม่เฉพาะเพื่อนที่เรียนด้วยกันในชั้นเรียนเท่านั้น แต่หมายถึงเพื่อนต่างสาขาต่างคณะต่างภาษาด้วยเช่นกัน ดังนั้นทุกมุมของมหาวิทยาลัยจะมีร้านน้ำชา (พวกเราจะเรียกว่า ดาบา หมายถึงร้านค้า) และเป็นที่ ๆ นัดคุย แลกเปลี่ยน ทักทายกัน สิ่งที่เราได้เรียนรู้คือ สังคมของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นอกห้องเรียน หรือแม้แต่การจัดเสวนาและสัมมนามีทั้งกลางวันและกลางคืน โดยเฉพาะถ้าเป็นประเด็นร้อน ๆ แรงๆ ก็มักจะจัดช่วงเวลาตั้งแต่ 21.00 -24.00 น. ทำให้เรารู้ว่า เพื่อนต่างสาขาต่างภาษาต่างวัฒนธรรมคิดอย่างไรกับเรื่องโน้นนี้นั่น สารพัดที่พูดคุย ตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ จนกระทั่งเรื่องการเมืองระดับโลก ซึ่งแต่ละครั้งก็มักจะตบท้ายด้วยความคิดเครียด ๆ ในการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองทั้งในอินเดียและสถานการณ์โลก และถ้าหากเกิดอะไรที่ไม่พอใจต่อระบบ หรือความไม่เป็นธรรมก็จะนัดรวมตัวกันเดินประท้วงและตะโกนไปรอบ ๆ มหาวิทยาลัย และบ่อยครั้งที่ปิดตึกเรียนไม่ให้มีการเรียนการสอน กลายเป็นบทเรียนจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

 อาจจะไม่ง่ายนักกับการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างโดดเดี่ยวที่พวกเราต้องพยายามพัฒนาทั้งความคิด ภาษาและการปรับตัวให้อยู่กับโลกแห่งความเป็นจริงให้ได้ แต่ขณะเดียวกันเราก็ไม่เดียวดายกับการต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ เพราะเรายังมีสังคมเพื่อน และอาจารย์ที่แนะแนวทางให้การเรียนรู้ในแง่วิชาการและวิธีการค้นคว้า โดยการให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง อันตั้งอยู่บนพื้นฐานของปัจเจกบุคคลทุกคนมีสามารถในการพัฒนาและต่อสู้กับทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง  จึงทำให้เราในฐานะนักศึกษาสามารถค้นหาประสบการณ์การเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่าการเรียนรู้ที่ผ่านมาในเมืองไทยเรามุ่งเน้นการบรรยายของอาจารย์ และนักศึกษาไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากนัก ทำงานกลุ่มก็ทำๆ ไป โดยไม่สนใจมากนักว่าความรู้ที่ได้จะเป็นอย่างไร ซึ่งความเคยชินเหล่านี้สะท้อนต่อผลของการเรียนรู้ด้วยตนเองว่า เราเองต้องสามารถเปลี่ยนผ่านจากความเคยชินเหล่านั้นให้ได้ เพราะฉะนั้นบทบาทของอาจารย์จะเป็นผู้ช่วยนักศึกษาในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยการให้โดยตรงและการสนับสนุนที่ขึ้นอยู่กับความต้องการของนักศึกษาและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องนั้นๆ

สำหรับอาจารย์ไม่เพียงแต่ให้นักศึกษาได้เรียนรู้ด้วยตนเองแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่เป็นผู้ถักร้อยกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับความสามารถที่หลากหลายของนักศึกษาที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง จึงทำให้พวกเราได้มีโอกาสพัฒนาทักษะชีวิต เรียนและสร้างนิสัยการเรียนรู้ที่จะช่วยให้พวกเรากลายเป็นผู้เรียนที่เป็นอิสระอีกด้วย

แม้ยามอ่อนแอ ท้อถอย เรามักจะตั้งคำถามอยู่เสมอว่า  ฉันต้องการอะไร” “เมื่อไปถึง ณ จุดนั้น จะเป็นอย่างไร” “ฉันต้องทำอย่างไร เพื่อให้ไปถึง ณ จุดนั้น” “ฉันต้องใช้ทรัพยากรอะไร” “ฉันมีความสามารถทำอะไรได้บ้าง
แล้วฉันจะต้องทำอย่างไรจึงจะประสบ ความสำเร็จและที่สำคัญคือ คำเยาะเย้ยที่มีต่อตนเองเมื่อยามที่เราเกียจคร้านก็คือ “มาที่นี่ทำไม มานอนเหรอ? มีเวลาให้นอนเยอะแยะ เขาให้เรามาค้นคว้าหาความรู้ หาประสบการณ์ ไม่ได้มานอนน่ะ”

สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องมีก็คือ ความต้องการเป็นตัวของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็ต้องการให้ผู้อื่นเห็นว่า เราเป็นตัวของตัวเองด้วย ดังนั้นสิ่งที่ปรากฏให้เราเห็นอย่างหนึ่งคือ อาจารย์ส่วนใหญ่มักจะไม่นำความคิดของตนไปจำกัดนักศึกษา แต่ส่งเสริมให้มีความรับผิดชอบต่อการเรียนมาจากตัวของนักศึกษาเอง โดยจะต้องให้นักศึกษามีส่วนเกี่ยวข้องมากที่สุด พวกเราเองจึงมีความรู้สึกอยากเรียน เมื่อมีสภาพแวดล้อมที่อำนวยแม้ว่าจะไม่สะดวก และพร้อมมากนัก แต่ก็ค้นพบและมีเป้าหมาย ในการเรียนของตนเอง ยอมรับที่จะมีความรับผิดชอบในการวางแผนการเรียนของตน และปฏิบัติในการเรียนรวมทั้งแสดงความก้าวหน้าในการเรียนของตน
สิ่งสำคัญที่เราได้จากภาวะที่อยู่ภายใต้ความกดดันและสับสนต่าง ๆ นั้นทำให้พวกเรา กลับมาคิดว่า “แล้วชีวิตการเรียนที่ผ่านมาเราทำอะไร เรียนเหมือนไม่ได้เรียนเต็มที่ เหมือนไม่มีความรู้อะไรเลย” แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรสะดวกสบายมากนักนั้น แล้วทำไมเรารู้สึกได้ถึงการเรียนรู้อย่างแท้จริง และแน่นอนเราเองก็รู้ว่าจะเรียนอะไร จากใครและจากที่ไหน จะสามารถแสวงหาแหล่งความรู้หรือเข้าถึงข้อมูลที่ตนเองต้องการได้ สามารถวิจารณ์และสามารถคัดสรรได้ว่าสารสนเทศต่างๆ ที่ได้มานั้นมีค่าต่อการเรียนรู้ ใช้คำถามเป็น สามารถถ่ายทอดความรู้ สื่อความได้ดี มีแนวคิดและนำความรู้มาใช้ในการแก้ปัญหา ให้ความสำคัญกับเพื่อน และสามารถทำงานกลุ่มได้และที่สำคัญมีความอดทน มีทักษะในการเข้าถึงเรื่องยากๆ

  การที่เราอยู่ท่ามกลางความสับสน ในสังคมที่แออัด แย่งชิง ไร้ซึ่งระเบียบกฎเกณฑ์ต่างภาษาต่างวัฒนธรรมทำให้เรารู้สึกถึง “ความโดดเดี่ยว” ที่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนกับการเรียน แต่เราเองก็มิได้ “เดียวดาย” เพราะเรามีทั้งอาจารย์และเพื่อน ๆ ที่สนับสนุนการเรียนรู้ทั้งจากในและนอกห้องเรียน จากประสบการณ์จริงที่สอนเราทั้งทางตรงและทางอ้อม และแล้วสิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ท้าทายการเรียนรู้ การค้นหาและสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ อันน่าจะเรียกได้ว่าเป็น “วิถีการเรียนรู้ด้วยตนเอง” ก็ว่าได้



[1] สำนักวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

Tuesday, February 26, 2013

มองเพื่อนบ้านผ่าน“นัตกะด่อ” ในพิธีกรรมบูชา“นัต”



มองเพื่อนบ้านผ่าน“นัตกะด่อ” ในพิธีกรรมบูชา“นัต”[1]

สิริพร สมบูรณ์บูรณะ[2]
      
     บทความนี้ผู้เขียนจะเขียนถึงการเข้าร่วมพิธี “นัต” กับเพื่อนชาวพม่าคนหนึ่ง ที่เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองชายแดนของไทยในฐานะ “แรงงานข้ามชาติ” โดยการเข้าร่วมพิธีกรรมนี้ทำให้เรารู้จักประเพณีวัฒนธรรม ความเชื่อและพิธีกรรมของชาวพม่าในฐานะเพื่อนบ้านเรามากขึ้น การได้เข้าร่วมพิธีกรรม “เข้าทรง” หรือ “นัต” นี้ถือว่าเป็นการเยือนบ้านเพื่อนของเราอีกเช่น ซึ่งบ้านของเพื่อนเราคนนี้ก็อยู่ใกล้กับบ้านของเรามา จนเรียกได้ว่า “เพื่อนบ้าน”  ดังนั้นบทความนี้จึงมองเรื่องราวของพิธีกรรม “เข้าทรง” หรือ “นัต” ผ่าน “ออย” เพื่อนที่เข้ามาอยู่ร่วมชายคาบ้านและทำงานภายในบ้านของเรา

เรื่องของ “ออย” แรงงานข้ามชาติพม่า
ในปีพ.ศ.2552 ผู้เขียนได้มีโอกาสไปช่วยน้าชายที่กำลังจะเปิดทำธุรกิจรีสอร์ทในจังหวัดระนอง ก่อนที่รีสอร์ทจะเปิดทำการนั้นได้ประกาศรับสมัครงานแม่บ้านผู้หญิง 2 คน ซึ่งปรากฏว่าส่วนใหญ่ที่เข้ามาสมัครงานนั้นเป็นผู้หญิงชาวพม่า และหนึ่งในกลุ่มที่เข้ามาสมัครนั้นก็มีสาวชาวพม่าซึ่งมีรูปร่างแข็งแรง บึกบึน แม้พวกเราจะก็เกิดความสงสัยในเรือนร่างของเธอ  แต่พวกเราก็ตอบคำถามนี้กันเองว่า อาจเป็นเพราะว่าเธอทำงานหนัก และก็อาจจะดีถ้าได้คนแบบนี้มาช่วยงานหนัก ๆ ในรีสอร์ท น้าชายของผู้เขียนจึงตัดสินใจรับเข้าทำงานในฐานะแม่บ้านของรีสอร์ท  เธอแนะนำตัวด้วยสำเนียงที่ไม่ค่อยชัดว่า “หนูชื่อออยค่ะ” พร้อมกับแนะนำตัวต่อว่า เธอนั้นอายุ 23 ปี เป็นคนทวาย มีญาติพี่น้องอยู่ทวาย มาทำงานเพื่อส่งเงินให้น้องเรียนหนังสือที่ฝั่งพม่า และอีกส่วนหนึ่งเก็บเงินเพื่อจะแต่งงานกับแฟนหนุ่มชาวพม่าที่ยังคงทำงานอยู่ฝั่งอำเภอเกาะสอง ประเทศพม่านั่นเอง
หลังจากนั้นสองวันสิ่งที่เราสงสัยในเรือนร่างของเธอก็เผยออกมา เพื่อนผู้หญิงชาวพม่าด้วยกันมาขอร้องให้ “ออย” แยกห้องอยู่ต่างหากจากพวกเธอ เพราะจริง ๆ แล้ว “ออย” ไม่ใช่ผู้หญิง เราจึงรู้ว่า “ออย” เธอเป็นสาวประเภทสอง ผิวคล้ำ รูปร่างสันทัดค่อนข้างบึกบึน ตากลมโต คมเข้ม รูปหน้าแป้น ผมยาวหยักโสกและเธอก็มาขอร้องด้วยเสียงออดอ้อนไม่ชัดว่า “อย่าไล่หนูออกเลย สงสารหนูเหอะ”
เธอก็ทำงานเป็นแม่บ้านต่อไป หลังจากทำงานไปได้สองสัปดาห์ เธอก็มาขอลาหยุดครึ่งวัน เพื่อไปธุระบ้านเพื่อนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากรีสอร์ทนัก ประมาณ 2 กิโลเมตรเท่านั้น ด้วยความที่เราไม่ไว้วางใจเธอจึงขอตามไปบ้านเพื่อนของเธอด้วย และแล้วเราก็พบว่า ที่เธอมาบ้านเพื่อนนั้น เพราะบ้านนั้นเป็นบ้านคนเข้าทรง กำลังทำพิธีบูชาเทพเจ้า เทวดาต่าง ๆ เสียงดนตรีพม่าอื้ออึงเสียงดัง เจ้าของบ้าน คนทำพิธี ผู้เข้าร่วมทั้งหมดเป็นชาวพม่าที่เข้ามาทำงานในจังหวัดระนอง แต่อาจจะอยู่ต่างชุมชนกันมาร่วมพิธีนี้ ส่วนผู้ที่มาจากฝั่งเกาะสอง ประเทศพม่าก็จะเป็นคนทรงที่มาทำพิธีใหญ่
ภายในบริเวณงานนั้นบรรยากาศสนุกสนาน เสียงดนตรีพม่า คนทรงสวมชุดประจำชาติพร้อมกับร่ายรำและเต้นไปตามจังหวะดนตรี ส่วนเสื้อผ้าที่สวมใส่นั้นก็เต็มไปด้วยเงินธนบัตรไทย 20 บ้าง 100 บ้าง และเหนือผ้าโพกศีรษะด้วย ขณะที่คนทรงร่ายรำนั้น ก็จะมีผู้ที่เข้าสู่สภาวะภวังค์เข้าร่วมเต้นและร่ายรำด้วย ซึ่งเชื่อว่า ผู้ที่ร่ายรำนั้นมีองค์หรือเจ้าเข้าทรงด้วย บริเวณแท่นพิธีนั้นก็จะมีการตั้งบูชาเทพเจ้า เทวดาต่าง ๆ ที่อัญเชิญมาจากฝั่งพม่า อีกทั้งจากวางพานและกะละมังใส่เครื่องเซ่นไหว้บวงสรวง อันประกอบด้วย ลูกมะพร้าว กล้วย น้ำดื่ม น้ำส้ม เบียร์ ขนม นม ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ดอกไม้ ธูป เทียน ฯลฯ วางอยู่เรียงรายหน้าแท่นบูชาเทพเจ้า เทวดาต่าง ๆ นอกจากนี้เราจะเห็นว่าบริเวณแท่นบูชานี้จะมีรูปพระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงและพระราชินีของไทยอยู่ด้วย
ส่วน “ออย” ได้หายไปด้านหลังบริเวณงาน ประมาณ 20 นาที เธอมาพร้อมชุดประจำชาติพม่าเช่นกัน และเริ่มพิธีโดยการไหว้เทพ เทวดา จากนั้นท่าทางอากัปกิริยาของเธอเริ่มเปลี่ยนไป เธอสูบบุหรี่ ยกขวดเบียร์ซดเหมือนน้ำดื่ม และร่ายรำเต้นไปตามจังหวะดนตรี ซึ่งท่าทางของเธอก็จะเหมือนกับเทพองค์หนึ่งบนแท่นบูชา ทำให้เราเห็นภาพของออยในฐานะของ “นัตกะด่อ” หรือ “คนทรง” นั่นเอง  และยิ่งทำให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า ในพิธีนัตนี้ เรือนร่างของ “ออย” ในฐานะที่เป็นสาวประเภทสองมีความสำคัญในอีกสถานะหนึ่ง นั่นคือ “นัตกะด่อ” ผู้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างคนกับเทพเทวดาหรือวิญญาณ
ดังนั้น ผู้เขียนจึงเข้าใจว่า“ออย” มิได้เป็นเพียงแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานรับจ้างเป็นแม่บ้านเท่านั้น แต่เธอยังเป็น “นัตกะด่อ” หรือ “คนทรง” อีกด้วย  เพราะผู้ที่เป็นคนทรงเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นสาวประเภทสองที่มาประกอบพิธี “ออย” จึงกลายเป็นผู้ที่มีอำนาจทันทีที่ได้กลายเป็น “นัตกะด่อ” ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้วิญญาณหรือเทวดาที่เข้าสิงในตัว”ออย”  กับลูกศิษย์สาวกที่เข้ามาร่วมพิธี ทุกคนแสดงความเคารพ นับถือ “ออย” ในฐานะ “คนทรงของเทวดา” ที่พวกเขาเหล่านั้นนับถือ
อีกมิติหนึ่งที่เราเห็น “ออย” คือ ท่าทางการร่ายรำการเต้นที่อ่อนช้อย ลีลาท่าทางเหมือนวิญญาณหรือเทวดาที่เข้าสิงร่างของ “ออย” จนเราเองแยกไม่ออกว่า นั่นคือ “ออย” ที่เรารู้จักหรือ วิญญาณกันแน่? นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่เราเห็นคือ “ความเป็นสาวประเภทสอง” ของ “ออย” เป็นที่ยอมรับของคนในกลุ่มเดียวกัน แม้ว่าในสภาวะปกติแล้วพวกเขาเหล่านี้มิได้รับการยอมรับมากนัก มักจะถูกล้อเลียน หัวเราะเยาะ แต่เมื่อ “ออย” สวมบทบาทของ “นัตกะด่อ” เธอก็กลายเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือทันที

พิธีกรรมบูชา “นัต”: ลัทธิความเชื่อดั้งเดิมของพม่า
“นัต” เป็นภาษาพม่าที่หมายถึงเทพเจ้า เทวดา ภูตผีวิญญาณ โดยเชื่อว่า “นัต” เป็นภูตผู้เป็นที่พึ่งของปุถุชนทั่วไป และจะให้ความช่วยเหลือและคุ้มครองผู้ที่ศรัทธากราบไหว้ ตามความเชื่อของคนพม่านั้นเชื่อว่ามีนัตทั้งสิ้น 37 ตน แต่ในความเป็นจริงแล้วมีมากกว่า 37 ตน เพราะถ้ารวมเอานัตที่นับถือในแต่ละท้องถิ่นอีกด้วย ซึ่งเราจะพบว่า ภายในบ้านของคนพม่าแต่ละบ้านจะมีหิ้งบูชานัตตั้งอยู่ใกล้หิ้งพระพุทธรูป หลายบ้านปลูกศาลคล้ายศาลพระภูมิไว้ที่หน้าบ้าน ใต้ร่มไม้ใหญ่ริมทางมีศาลนัตอยู่ทั่วไป และแม้แต่ในเขตลานพระเจดีย์ก็ยังพบว่ามีรูปนัต ปั้นเป็นองค์เทพ เทวี ผู้เฒ่า หรือรูปยักษ์ เห็นชัดว่าคนพม่าจำนวนไม่น้อยยังคงกราบไหว้บูชานัต นับเริ่มกันแต่ที่บ้าน สู่ที่สาธารณะ ตลอดจนในเขตวัดอีกด้วย [3]
บ้านพม่าบางหลังนอกจากจะมีหิ้งบูชาพระพุทธรูปแล้ว ยังพบหิ้งนัตตั้งอยู่ใกล้กับหิ้งพระ โดยเฉพาะหิ้งนัตเรือน จะขนาบอยู่ด้านขวาของหิ้งพระนั้น  บางบ้านตั้งศาลนัตไว้ในบริเวณหน้าบ้านหรือร้านค้าจะนิยมตั้งศาลนังกะไร่ หรือเจ้าแม่นางกระบือ  และ มยิงผยูชิงหรือเจ้าพ่อม้าขาว ซึ่งต้องบูชาด้วยหุ่นม้าขาว เป็นต้น
การนับถือผีเป็นความเชื่อความศรัทธาของคนพม่าที่มีมาก่อนการเข้ามาของพุทธศาสนาในพม่า ซึ่งพวกเขาไม่ได้เพียงแต่นับถือหรือเชื่อในพุทธศาสนาอย่างเดียวไม่ แต่พวกเขายังคงนับถือภูติผีวิญญาณอีกด้วย พวกเขายังบูชาเทพ เทวดาภูติวิญญาณต่าง ๆ ที่เชื่อว่าอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะแม่น้ำ ต้นไทร หรือต้นไม้อื่น เป็นต้น ซึ่งเหล่าเทพ เทวดาภูติวิญญาณก็จะช่วยเหลือ รักษาอาการเจ็บป่วยเป็นไข้ไม่สบาย รวมถึงความกลัวในวิญญาณแห่งความตาย
เรื่องราวเกี่ยวกับ “นัต” โดยเหล่านักวิชาการพม่าและตะวันตกต่างให้ความหมายแตกต่างกัน ประการแรก “นัต” ในฐานะเทพ เทวดาผู้อยู่บนสรวงสวรรค์ตามความเชื่อมายาคติในศาสนาฮินดู และในความหมายประการที่สองคือ “นัต” คือวิญญาณหรือภูตผีปีศาจที่อยู่ตามธรรมชาติ เช่น น้ำ อากาศ ป่า เขา บ้าน สรรพสัตว์ต่างๆ ที่มีอำนาจอิทธิฤทธิ์ [4] ซึ่งคนพม่าจะเชื่อทั้งนัตที่ดีและนัตที่ชั่วร้าย และเชื่อว่ามนุษย์เราแต่ละคนมีทั้งดีเลวเหมือนนัตเช่นกัน 
ดังนั้นคนพม่าจึงมีความพยายามที่จะติดต่อกับ “นัต” ในรูปแบบต่าง ๆ ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการกราบไหว้ การเซ่นสรวง การเข้าทรง การบนบานสานกล่าว เพื่อขอความคุ้มครอง ปกป้องรักษา อีกทั้งเครื่องเซ่นไหว้ก็แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับนัตแต่ละตน นัตบางตนนิยมมังสวิรัติ กินเฉพาะผลไม้ ดอกไม้ ใบไม้ นัตบางตนชอบอาหารดิบ อาทิ ปลาดิบ เนื้อดิบ นัตบางตนชอบของมึนเมา ดื่มเหล้าเมายายามประทับทรง บางตนชอบพิณ  บางตนชอบขลุ่ย บางตนชอบหมวก บางตนชอบหุ่นม้า และบางตนชอบบุหรี่ เป็นต้น แต่เครื่องเซ่นไหว้และเครื่องบูชาที่สำคัญจะต้องจัดวางไว้บนถาดหรือพาน ประกอบด้วยมะพร้าวสด 1 ลูก กล้วยดิบ 3-5 หวี หมาก พลูและยาเส้น ซึ่งมะพร้าวนี้จะต้องชโลมด้วยน้ำหอม และบูชาทั้งผล โดยไม่ปอกเปลือกต้องมีก้านจุกติดอยู่กับขั้ว
ในพิธีบวงสรวงลงทรงนัตจะประกอบพิธีประจำปีหรือทำเพื่อแก้บน ซึ่งในแต่ละครั้งจะจัดสร้างปะรำพิธีบริเวณบ้านที่เจ้าของบ้านเป็นคนทรงบ้าง หรือเพื่อแก้บนบ้าง หรือบางครั้งจัดบริเวณใกล้พระเจดีย์แต่ต้องอยู่นอกเขตวัดหรือลานเจดีย์ ห้ามจัดในบริเวณเขตวัดหรือลานเจดีย์ ช่วงที่นิยมจัดงานจะเป็นช่วงก่อนหรือหลังสงกรานต์ ก่อนเข้าพรรษาและหลังออกพรรษา แต่ละครั้งมักมีนัตกะด่อร่วมพิธีหลายคน แต่จะมีนัตกะด่อหลัก 1 คนที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าพิธี แต่ละคนจะมีนัตเข้าทรงผลัดเปลี่ยนได้หลายตน  ทุกครั้งที่เปลี่ยนนัตลงทรง นัตกะด่อจะต้องเปลี่ยนเครื่องทรงของนัตเฉพาะตน นัตที่เข้าทรงมิใช่มีแต่เพียงนัตพม่าที่ชื่อดังเป็นที่นิยมเท่านั้น หากแต่ยังมีนัตต่างชาติพันธุ์ อาทิ นัตกะเหรี่ยง นัตไทยใหญ่ นัตแขก และนัตจีน เป็นต้น ในพิธีจะมีการประโคมดนตรีที่เรียกว่า วงซายวาย มีลักษณะเป็นวงปี่พาทย์ ประกอบด้วย เปิงมางคอก ตะโพน ฆ้องแผง ฆ้องวง ปี่แน กรับไม้ไผ่ และฉาบ  มีการขับกล่อมเพลงประจำนัต เป็นเพลงเศร้าบ้าง ร่าเริงบ้าง คละเคล้ากันไป เมื่อนัตประทับทรงก็จะเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมพิธีได้เข้าใกล้ชิดนัต มีการสอบถามทุกข์สุข ทำนายทายทัก และชี้แนะตักเตือน นัตที่ลงทรงมักกินเหล้าและสูบยา เต้นฟ้อนล้อจังหวะดนตรีกันอย่างถึงอารมณ์ งานบูชานัตจึงเป็นทั้งพิธีกรรมที่ดูเคร่งจริงจัง ขณะเดียวกันก็เป็นงานรื่นเริงพร้อมกันไป พิธีแต่ละครั้งมักจัดติดต่อกันตลอด 3 วัน ผู้ว่าจ้างนัตกะด่อให้ทำพิธีลงทรงจะต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ราว 30,000-50,000 จั๊ต หรือราว 8,000-13,000 บาท การบวงสรวงจึงมักทำเฉพาะในโอกาสอันสำคัญเท่านั้น [5]
นัตกะด่อ: สื่อกลางระหว่างคน เทพ และผี

  นัตกะด่อตามความหมายแปลว่า “ภรรยาของนัต” หรืออาจจะเป็นได้ทั้งสามี ลูกสาวลูกชาย พี่ชายน้องสาวของนัตก็ได้ นัตกะด่อเปรียบเสมือนคนทรงที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการพยากรณ์เรื่องราวต่าง ๆ ได้และเป็นเจ้าพิธีด้วย แต่ในบางกรณีนัตกะด่อก็เป็นนักเล่นกลเจ้าเล่ห์นั่นเอง พวกเขาจะเชื่อฟังในอำนาจลึกลับของนัต และถูกครอบงำให้เคารพเยี่ยงเช่นสามีภรรยาหรือคนรับใช้ พวกเขาจะเต้นร่ายรำเพื่อบูชานัต และผู้ที่ศรัทธานัตก็จะร่วมร่ายรำด้วย พร้อมทั้งปะพรมน้ำหอมให้กับนัตกะด่อ และแสดงความนับถือโดยการถวายเงินทอง ร่วมกันดื่มเหล้าและถวายอาหารต่าง ๆ ผู้ที่ศรัทธาเหล่านี้สามารถเข้าร่วมพิธีโดยให้วิญญาณได้ปลอบโยน และสนุกร่วมกับการเต้นร่ายรำของนัตกะด่อ [6]
ขณะที่นัตกะด่อแสดงในงานพิธีก็จะได้รับค่าตอบแทนจากการให้คำปรึกษาต่อผู้ที่เชื่อถือศรัทธา คนทรงหรือผู้ชำนาญในพิธีนี้จึงมีบทบาทสำคัญในสร้างสัมพันธ์ระหว่างนัต พิธีกรรม และเหล่าสาวกลูกศิษย์  และจากการที่ชาวพม่าจำนวนมากยังคงพึ่งพาอำนาจนัตนี้ จึงทำให้การประกอบพิธีลงทรงในกลุ่มคนพม่าจึงกลายเป็นอาชีพที่มีรายได้ดีพอๆกับอาชีพหมอดู เนื่องจากการจัดพิธีมีองค์ประกอบมาก เหล่าร่างทรง ผู้ประกอบพิธี และคณะปี่พาทย์จึงพึ่งพากันด้วยการสร้างสายสัมพันธ์กันเป็นหมู่คณะ
นัตยังดูจะให้ความรู้สึกที่ใกล้ชิดและเป็นกันเองแก่ผู้เชื่อถือศรัทธาอีกด้วย อาทิ ในเวลาที่นัตประทับทรง ผู้ศรัทธานัตจะสามารถพูดคุยปรับทุกข์และขอคำชี้แนะจากนัตโดยผ่านนัตกะด่อหรือร่างทรง จนดูประหนึ่งว่าผู้ศรัทธานั้นได้มีโอกาสใกล้ชิดผู้มีอำนาจที่เข้าใจปัญหาของตน บางรายถึงขนาดร่ำไห้ทุกคราวที่นัตองค์ที่ตนศรัทธาลงประทับทรง และบางรายอาจถูกนัตนั้นเข้าสิงโดยไม่มีพิธีอัญเชิญก่อนก็มี ในความรู้สึกของผู้บูชานัตนั้น จะเชื่อว่านัตคือผู้คอยให้ความช่วยเหลือต่อผู้ศรัทธา และแต่ละคนสามารถเลือกบูชานัตตามภาวะวิสัยของตน จึงนิยมบูชานัตเฉพาะตนหรือเชื่อว่าเหมาะกับตนด้วยหวังพรจากนัตที่ตนเคารพเชื่อถือนั้น และหากสิ่งที่ร้องขอสำเร็จผลก็ต้องเซ่นไหว้กันตามความเหมาะสม แต่ถ้าไม่เป็นผลก็มิใช่เป็นเหตุให้ต้องเลิกเชื่อถือนัตนั้นเสียทีเดียว ผู้เชื่อมักหวนกลับมาสำรวจตนว่าอาจทำสิ่งไม่เหมาะไม่ควรจนทำให้นัตไม่ให้ความเมตตา ฉะนั้นจึงต้องปฏิบัติตามความพึงพอใจของนัตแต่ละตนอย่างเคร่งครัด อาทิ งดกินเนื้อสัตว์ รักษาศีล และถวายอาหารที่นัตโปรด เป็นต้น ความเชื่อในนัตจึงมักเกี่ยวพันอยู่กับข้อห้ามข้อนิยม ไม่จำเพาะต้องพึ่งการสั่งสมบุญกุศลและอดีตกรรมมากนัก ผลบุญผลกรรมจึงดูจะมีน้ำหนักน้อยกว่าการเอาใจนัตเพื่อให้ได้รับผลสำเร็จตามประสงค์ ด้วยเหตุนี้นัตจึงเปรียบดุจผู้อารักษ์ที่คอยปัดเป่าเรื่องทุกข์กายทุกข์ใจ ที่ชาวพุทธพม่ามักเชื่อกันว่าเป็นผลมาจากข้อด้อยในกุศลและอดีตกรรมที่ก่อไว้นั่นเอง [7]

“ออย” กับบทบาทคนทรง “นัตกะด่อ”

       “ออย” กะเทยสาวจากแม่บ้านในรีสอร์ท ได้กลายเป็น “คนทรง” หรือ “นัตกะด่อ” โดยแต่งกายเสมือนเป็น “นัต” ตนหนึ่งที่ชื่อว่า “นังกะไร่” หรือ “แม่ควาย” หากนับลำดับวงศ์ของ “นังกะไร่” นี้แล้ว นัตตนนี้ไม่ได้เป็นนัตบรรพบุรุษในลำดับที่สำคัญหรือเทพเจ้าเทวดาแต่อย่างใด แต่ “นังกะไร่” ได้รับความนับถืออย่างมากในกลุ่มชาวมอญและคนพม่าระดับล่างเพราะช่วยเหลือด้านการค้าขาย รูปปั้นของ “นังกะไร่” จะถูกบูชาไว้ในศาลเล็ก ๆ หน้าบ้าน หรือบริเวณทางขึ้นด้านล่างเจดีย์ในวัด นังกะไร่จะทำหน้าที่เสมือนผู้ดูแลปกปักษ์รักษาสถานที่นั้น ๆ ไม่ว่าบ้าน หรือวัด [8]
สำหรับ “ออย” ได้สวมชุดพื้นเมืองสีดำทั้งชุด มีเขาควายสวมไว้บนศรีษะ พร้อมกับการแสดงที่ร่ายรำเป็นเรื่องราวชีวิตของ “นังกะไร่” เธอก็จะร่ายรำในลักษณะวนไปวนมา พร้อมกับเคี้ยวใบชา ขณะเดียวกันลูกศิษย์ที่เข้ามาร่วมร่ายรำด้วยนั้นก็จะจัดเตรียมถังน้ำที่มีปลาช่อนไว้ให้ “นังกะไร่” เพราะเชื่อว่าท่าน (ควาย)ชอบเล่นน้ำ สาดน้ำ น้ำจึงถือว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของพิธีนี้ และเธอก็จะพยายามเอาเขาควายของเธอไสลงในถังน้ำเพื่อไล่แทงปลาช่อนที่เวียนว่ายในถังน้ำ และจับมาถือในมือและเต้นไปด้วย โดยแม่ควายก็จะลูบศรีษะและพ่นน้ำใส่ผู้ที่เข้าร่วมในพิธีเพื่อความสิริมงคลความอุดมสมบูรณ์และปกปักษ์รักษาพวกเขาให้อยู่ดีกินดี ขณะที่แม่ควายร่ายรำอยู่นั้นเจ้าชายอะทาเกาม่า ผู้สวมชุดทหารมือถือดาบ เชื่อว่าน่าจะเป็นผู้ที่นังกะไร่เป็นผู้เลี้ยงดูมา ได้ปรี่เข้าหาเธอพร้อมกับขอให้เธอยกโทษให้กับเขาด้วย จากนั้นเขาก็ใช้ดาบแทงลงไปที่ร่างของอะเมเพ่กู และเธอก็หลั่งน้ำตาไหลรินออกมาท่ามกลางการปลอบโยนของเหล่าผู้ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ ดังนั้นจึงเชื่อว่าการตายนี้ทำให้ “นังกะไร่” หรือ “แม่ควาย”ได้กลายเป็นนัต
อีกบทบาทหนึ่งของ “นัตกะด่อ” ของออยคือ การเป็นร่างทรงของ “โก่จีจ่อ” เป็นนัตผู้ชายที่มีนิสัยชอบความสนุกสนาน กินเหล้าเมายา ชอบการพนัน ชนไก่และเล่นหมากทอย นัตตนนี้เป็นขวัญใจของผู้ที่ชอบเสี่ยงโชคและนักการพนัน โดยเฉพาะการขอเลขเด็ดหรือหวยนั่นเอง เมื่อ “ออย” สวมบทบาทของ “โก่จีจ่อ” จะแต่งกายชุดพม่าชาย สีสันสวยงามเหมือนเจ้าชาย ขณะเดียวกันจะดื่มเบียร์และสูบบุหรี่ตลอดเวลาที่ร่ายรำ
บทบาทของ “ออย” ในฐานะ “นัตกะด่อ” ที่เราเห็นนั้น เป็นเสมือนการแสดงหนึ่งประกอบพิธีกรรมความเชื่อที่เป็นที่นิยมของคนพม่าทั้งที่อยู่ในและนอกประเทศพม่า ซึ่ง “ออย” สาวประเภทสองที่ต้องทำหน้าที่เป็นสื่อกลายที่เปลี่ยนผ่านโดยใช้เรือนร่างของตนในความเป็นหญิงและชาย ในความเป็นมนุษย์และภูติวิญญาณในพิธีกรรมบูชานัต ซึ่งถือว่าเป็นพิธีกรรมที่สำคัญและมีบทบาทสำคัญต่อกลุ่มคนพม่าที่เข้ามาทำงานหรือเป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย

“เพื่อนบ้าน”กับการสร้างพื้นที่ที่ “บ้านเพื่อน”
การใช้ชีวิตนอกเขตแดนของแผ่นดินบ้านเกิดของตนเองและการอยู่อาศัยในเขตแดนของประเทศอื่น ซึ่งมักจะเกี่ยวเนื่องกับความทรงจำและจินตนาการการเดินทางข้ามเขตแดน นั่นคือการหวนรำลึกถึงความเก่าใหม่ ภาพอดีต ปัจจุบัน ความเป็นตัวเองและความเป็นอื่น รวมถึงความปลอดภัยและภัยอันตราย ดังนั้นมโนคติของวัฒนธรรมชายแดนที่เกิดขึ้นนั้นจึงเป็นวิถีของโลกนิยม ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการข้ามชาติ ขณะที่ภาพเหล่านี้ไม่ได้มีขอบเขตที่ถูกแบ่งไว้อย่างเด่นชัดนัก มันยังคาบเกี่ยวผสมผสานและพร่ามัวอยู่
พิธีกรรมบูชา “นัต” ก็เช่นกันเป็นพิธีกรรมที่ทำให้ผู้คนข้ามชาติได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน เสมือนตนเองอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนของตน จึงเปรียบเสมือนการสร้างพื้นที่ของ “ความเป็นบ้าน” ในถิ่นอื่น ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของและความปลอดภัยที่เห็นถึงคุณค่าและรูปแบบของพฤติกรรม ที่สำคัญแรงงานข้ามชาติพม่าเหล่านี้ ไม่เฉพาะ “ออย” เท่านั้นที่รู้สึกถึง “บ้าน” ที่ตนได้พยายามขอลาหยุดจากงานและโดนหักเงินค่าจ้าง เพื่อมาร่วมพิธีกรรมหรือ “บ้าน” อันเป็นอารมณ์ความรู้สึกร่วมที่ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย มีความสนิทสนมกันในกลุ่มพวกพ้องของตน   
                ดังนั้นจะเห็นว่า “พิธีกรรมบูชานัต” เป็นกระบวนการสร้างพื้นที่วิธีการหนึ่งที่ผ่านงานกิจกรรมสาธารณะที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วมของกลุ่มพวกตน สำหรับผู้เขียนเองรู้สึกทึ่งกับปรากฏการณ์ที่ได้เห็นและเข้าไปมีส่วนร่วมกับเพื่อน “ออย” ในฐานะที่เรามองเธอเป็นเพียง “แรงงานข้ามชาติพม่า” หรือ “ลูกจ้าง/คนงาน” เท่านั้น แต่เธอทำให้ผู้เขียนได้รู้จัก “ออย” อีกมุมหนึ่ง และไม่เพียงแต่ “ออย” เท่านั้นที่ทำให้ฉันได้รู้จักเพื่อนแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในบ้านเรา แต่เราได้เข้าใจประเพณีวัฒนธรรมและพิธีกรรมที่พวกเขาพกติดตัวมาอีกด้วย
               
เอกสารอ้างอิง
อรนุช-วิรัช นิยมธรรม (2551) เรียนรู้สังคมวัฒนธรรมพม่า พิษณุโลก: โรงพิมพ์ตระกูลไทย
Castles & Davidson.  (2000) Citizenship and Migration. London: Macmillan Press Ltd.
Rodrigue, Yves, (1992) Nat-Pwe: Burma’s Supernatural Sub-Culture. HongKong: Kiscadale Ltd.
Vossion, L (1991) ‘Nat Warship Among the Burmese.’ Journal of American Folklore, No.4, 11891, pp. 1-8.



[1] บทความนี้ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการประกอบเอกสารประกอบการสัมมนาวิชาการ เรื่อง “การศึกษาสู่อาเซียน: มิติด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์” ภายใต้หัวข้อ “บ้านเพื่อน เพื่อนบ้าน: การเมืองว่าด้วยพรมแดน ชาติพันธุ์และคนชายขอบ” ระหว่างวันที่ 3-4 มีนาคม 2556  ณ อาคารปฏิบัติการเทคโนโลยีและการพัฒนานวัตกรรม มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช
[2] อาจารย์ประจำสำนักศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ท่าศาลา นครศรีธรรมราช
[3]  วิรัช-อรนุช นิยมธรรม 2551: น.143-146
[4] Vossion, L 1991: 107
[5] วิรัช-อรนุช นิยมธรรม 2551: น.163
[6]  Rodrigue, Yves 1992: 48-49
[7] วิรัช-อรนุช นิยมธรรม 2551: น.143-146
[8] Rodrigue, Y 1992: 44