Sunday, September 22, 2013

มนุษยธรรมกับผลของสารพิษทางการเมืองต่อศีลธรรม ?

มนุษยธรรมกับผลของสารพิษทางการเมืองต่อศีลธรรม ?

จากสึนามิถึงน้ำท่วม จากน้องผู้หิวโหย ถึงผู้ติดเชื้อเอชไอวี จากผู้ลี้ภัยชาวกระเหรี่ยงถึงโรฮิงญา จากเด็กขอทานถึงน้องที่ถูกลักพาตัว ภัยพิบัติต่าง ๆ รวมถึงปัญหาต่าง ๆที่เกิดขึ้นนี้ มันยากที่เราจะทำเป็นเพิกเฉยหรือห่างเหินกับมัน ซึ่งภาวะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นถูกเกี่ยวโยงกับอารมณ์ความรู้สึกเป็นสำคัญ สิ่งที่เราต้องนึกถึงความอ่อนล้าที่จะตอบโต้กับความโชคร้ายของเหยื่อ เรื่องราวเหล่านี้อาจจะคลี่คลายได้และบางเรื่องราวอาจจะล้มเหลว แต่เรื่องราวเหล่านี้ก็ถูกรวมไว้กับอีกมุมหนึ่งเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นในสังคม
ดังปรากฏให้เห็นถึงผู้ที่ต้องการช่วยเหลือเหยื่อ เช่น การส่งเงินให้กับนักเรียนที่ยากจน การต่อสู้ของนักกิจกรรมที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ผู้ใจบุญที่รักเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน การบริจาคข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เป็นต้น เพื่อทำให้สิ่งที่แตกต่างกันได้กลายเป็นประสบการณ์ความคิดเรื่องศีลธรรมบนโลกนี้เพิ่มมากขึ้น อาจเรียกได้ว่า ความช่วยเหลือเหล่านี้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม คำ ๆ นี้จึงถูกพูดถึงอย่างมากในบริบทของความเมตตา กรุณา ความเห็นอกเห็นใจกัน การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ การทำบุญ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมทางการเมือง การโฆษณาเชิญชวน เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ต้องมาทบทวนว่า “มนุษยธรรม” มีความหมายว่าอย่างไร มีลักษณะอย่างไร ที่สำคัญงานด้านมนุษยธรรมเป็นงานแบบไหนกันแน่?
แน่นอน ! คำว่า “มนุษยธรรม” ตามความหมายจากพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน คือ “ธรรมของมนุษย์ ธรรมที่มนุษย์พึงมีต่อกัน มีความเมตตากรุณา” ขณะที่คำว่า “มนุษยธรรม” ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ และองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรพัฒนาเอกชน นั้นหมายถึงความเห็นอกเห็นใจ การยื่นมือเข้าช่วยเหลือและปกป้องผู้อื่นโดยไม่คำนึงว่าเขาจะเป็นใครหรือทำอะไรมา ถือว่าเป็นเรื่องของการเชิดชูศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของทุกคน แม้กระทั่งผู้ที่ไม่เป็นที่ต้องการของสังคม โดยยึดเป็นมาตรฐานในการทำงานเพื่อมนุษยชาติบนสังคมโลกนี้ ซึ่งประกอบด้วยความเป็นมนุษย์ ความเป็นกลาง อิสรภาพ และความยุติธรรม
แต่ขณะเดียวกันมนุษยธรรมนิยมเองก็ได้สะท้อนให้เห็นถึง เรื่องที่อยู่ระหว่างการเมืองและศีลธรรมที่ถูกจัดการโดยรัฐ (บาล)องค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่วางตนเป็นเป็นศูนย์กลางและทำให้เป็นทั้งเรื่องการเมืองและเรื่องที่ไม่ก็เกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ประชาชนอย่างเรา ๆ ก็ถูกกันออกจากเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความขัดแย้งด้านสิ่งแวดล้อม  ความขัดแย้งทางศาสนา ลัทธิทางการเมือง รวมถึงเชื้อชาติ เป็นต้น การช่วยเหลือต่าง ๆ ที่ผ่านมามักจะถูกตั้งคำถามเสมอ ๆ ถึงความเป็นกลาง รวมทั้งความเป็นเรื่องของทางโลกหรือความศรัทธากันแน่?
ภาพพจน์ของความหายนะต่าง ๆ และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมักจะถูกสร้างขึ้นและตอกย้ำผ่านสื่อโทรทัศน์ สื่อออนไลน์ต่าง ๆ ถูกนำเสนอและแพร่หลายมากขึ้น ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเครื่องมือของเล่ห์เหลี่ยมภายใต้ร่มเงาของผู้มีอำนาจและใช้มนุษยธรรมเหล่านี้ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน โดยคำสั่งที่แตกต่างกัน แรงกระตุ้นและระบบของความรู้สึกที่เป็นหนี้บุญคุณและความช่วยเหลือ อย่างน้อยที่ยังเหลืออยู่ให้เห็น ความพยายามอย่างกล้าหาญของนักสังคมสงเคราะห์มืออาชีพ และการแสดงความรู้สึกทุกข์ทรมานกับเหยื่อที่แสนเลวร้ายนั้น พวกเขาก็ให้ความช่วยเหลือดูแล แม้ว่าบางครั้งอาจไม่มีใครได้ยิน เป็นการทำอย่างไร้สถานภาพ และปราศจากการเห็นคุณค่าจากผู้อื่น ดังนั้นความชัดเจนของหลักมนุษยธรรมนิยมที่เกิดขึ้นเฉพาะเรื่องหรือเฉพาะที่นั้นจึงควรเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ
อย่างไรก็ตามเพื่อคลายความสงสัยเกี่ยวกับมนุษยธรรม ที่อยู่ท่ามกลางความมีศีลธรรมและอำนาจทางการเมือง  ที่สำคัญการผูกยึดอยู่กับความเชื่อทางศาสนา ไม่ว่าเรื่องบาป บุญ ความเมตตา กรุณา สิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อความศรัทธาที่มนุษย์เราเชื่อว่าต้องช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่า เหยื่อผู้เผชิญกับสิ่งโหดร้ายเลวทราม ดังนั้นเราจะเห็นรูปแบบต่าง ๆ ที่องค์กรระหว่างประเทศ องค์กรพัฒนาเอกชน รวมถึงเอกชน และมูลนิธิต่าง ๆได้พยายามเข้ามาให้ความช่วยเหลือกลุ่มคนต่าง ๆ ที่ประสบปัญหา หรือเป็นเหยื่อจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติตามธรรมชาติ หรือสงคราม รวมถึงความยากจน  เป็นต้น ผ่านแนวความคิด “มนุษยธรรม” ดังจะเห็นตัวอย่างได้จากสื่อออนไลน์ ผ่านเฟชบุ๊คต่าง ๆ อาทิ การประกาศเด็กหาย การบริจาคข้าวของเครื่องใช้เพื่อผู้ประสบอุทกภัย รวมถึงการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยทางการเมือง เป็นต้น
กรณีการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่ปรากฏให้เห็นในประเทศไทย มีการช่วยเหลือในรูปแบบต่าง ๆ โดยอ้างคำว่า “มนุษยธรรม” เป็นเครื่องมือนำทาง ไม่ว่าจะเป็นการตั้งค่ายผู้ลี้ภัย การส่งต่อประเทศที่สาม การบริจาคข้าวของเครื่องใช้ การตรวจสุขภาพ การให้การศึกษาความรู้และทักษะต่าง ๆ การคุ้มครองชีวิต เป็นต้น แต่ถูกจำกัดอยู่เฉพาะการทำงานกับผู้ลี้ภัยบางกลุ่มที่รัฐอนุญาตเท่านั้น แต่ผู้ลี้ภัยบางกลุ่มไม่สามารถถูกยกระดับให้เป็นผู้ลี้ภัยได้อย่างเปิดเผย หรือแม้นกระทั่งการรับรองพวกเขาในฐานะผู้ลี้ภัย จะพบว่ารัฐเองมีมาตรการไม่รับรองคนกลุ่มนี้ และพยายามผลักดันให้ออกนอกประเทศ หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงคนกลุ่มนี้ รวมถึงการจับกุมหรือควบคุมพวกเขาก็ไม่ต่างไปจากนักโทษที่ก่ออาชญากรรม ในขณะเดียวกันท่าทีขององค์กรระหว่างประเทศ หรือองค์กรทางศาสนาเองก็ไม่สามารถออกหน้าออกตารับรองพวกเขาเหล่านี้ได้อย่างโดยตรง ทั้งนี้เพราะการถูกจับจ้องหรือจ้องมองโดยภาครัฐ ที่มองว่าอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับการบ่อนทำลายชาติหรือความมั่นคงของชาติ

หากว่าพยายามอ้างถึงการให้ความช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมแล้ว ในความเป็นจริงแล้วผู้รับความช่วยเหลือเหล่านี้ได้รับจริงหรือเปล่านั้น เพราะมันจะคงปนเปื้อนไปกับหลักการทางการเมืองที่ผสมยาพิษไว้อยู่ ขณะที่ผู้ให้ความช่วยเหลือเองยึดถือความเชื่อความศรัทธาที่ควบคู่ไปกับเรื่องการเมืองทำให้ผู้รับช่วยเหลือเองก็หวั่นวิตกอยู่ตลอดเวลา รวมถึงความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันที่เกิดขึ้น แหละนี่เอง! เราอาจต้องกลับมามองอีกด้านหนึ่งเหมือนกันว่า แล้ว ในฐานะ “ผู้รับการช่วยเหลือ” ล่ะ จะเป็นอย่างไร?